บทที่ 202 ใช้เงินสร้างความสัมพันธ์
ไม่ว่าหลิ่วหงเหยียนกับเสิ่นชิงฉือจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หลินฉวีฉีดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความสงสัยของพวกนางจึงรีบชี้ไปที่ฉินเฟิง แต่กลับพบว่าฉินเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ หายไปนานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “คุณหนูทั้งสอง ‘ตำนานแสงจันทร์’ นี้เขียนโดยพี่ฉินจริง ๆ เพียงแต่… ทุกคนน่าจะรู้เกี่ยวกับลายมือของพี่ฉิน ฉะนั้นเขาเลยขอให้ผู้แซ่หลินคัดลอก และส่งสำเนาไปที่ค่ายฝึกซ้อม เพื่อให้หลู่หมิงแกะสลักเป็นแผ่นพิมพ์ และจะวางขายในร้านขนาดใหญ่”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลินฉวีฉีแล้ว หลิ่วหงเหยียนกับเสิ่นชิงฉือก็มองหน้ากัน ก่อนจะเผยอริมฝีปากเล็ก ๆ ของพวกนางขึ้น
ฉินเฟิงมีความสามารถและมีความรู้ก็จริง แต่อารมณ์อันละเอียดอ่อนระหว่างตัวละครเอกในนวนิยายเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนถึง หากไม่มีประสบการณ์ความรักที่จดจำฝังใจ!
ทุกคนในเมืองหลวงผู้ใดจะไม่รู้ว่าฉินเฟิงเคยชินกับการอยู่เฉย ๆ กระทั่งว่าบิดากับบุตรสาวของตระกูลเซี่ยมาเยี่ยมเยือน เจ้าตัวก็ยังหลบหน้าไม่กล้าพบพวกเขา
เจ้า ‘ไข่แตงเขียว’*[1] ที่ยังไม่เคยเผชิญโลก จะมีประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งเช่นนั้นได้อย่างไร?
สองพี่น้องไม่เชื่อเลยสักนิด!
แต่ในเวลานี้ฉินเฟิงได้ทานำมันบทฝ่าเท้าเผ่นแน่บจากไปแล้ว ไม่สามารถซักถามต่อหน้าได้ ดังนั้นจึงต้องยอมแพ้ชั่วคราว และรอจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ จึงค่อยถามฉินเฟิงว่า เรื่อง ‘ตำนานแสงจันทร์’ แท้จริงแล้วเป็นมาอย่างไรกันแน่!
เวลานี้นายน้อยฉินพาฉินเสี่ยวฝูมุ่งหน้าตรงมายังค่ายฝึกซ้อมแล้ว
สำเนานี้จะต้องส่งต่อให้หลู่หมิงโดยเร็วที่สุด หากแกะสลักแผ่นพิมพ์ได้เร็วขึ้น ร้านหนังสือก็สามารถเปิดได้ในเร็ววัน
เนื่องจากอยู่ในช่วงเตรียมการสงคราม เพื่อป้องกันการแทรกซึมของสายลับเป่ยตี๋ เมืองหลวงจึงเริ่มใช้กฎควบคุมในเวลากลางคืน นอกจากทหารองครักษ์หน่วยกองลาดตระเวนจึงแทบไม่มีคนอยู่บนถนน บางคราอาจพบเห็นขุนนางราชสำนักบางคนกลับจากเลิกงานบ้างเท่านั้น
ตาม ‘ประมวลกฎหมายต้าเหลียง’ ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกจากจวนยามวิกาลจะถูกลงโทษโบยยี่สิบไม้ ในกรณีที่รุนแรงจะถูกลงโทษข้อหาร่วมมือกับข้าศึกและได้รับโทษประหารทันที
ไม่ต้องพูดถึงราษฎรทั่วไป แม้แต่บุตรหลานขุนนางบางคนก็ไม่กล้าออกมาหาเรื่องซวยใส่ตัวในช่วงเวลาตึงเครียดเช่นนี้
ยกเว้นก็แต่ฉินเฟิง…
ทหารองครักษ์ติดอาวุธหนักของหน่วยกองลาดตระเวน ลาดตระเวนไปตามถนน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม พวกเขาบังเอิญพบกับฉินเฟิงที่เร่งรีบออกจากเมือง แต่แทนที่จะคาดโทษ พวกเขากลับรวมตัวกันห้อมล้อมชายหนุ่ม เพื่อทักทายและประจบประแจงเสียอย่างนั้น
“นายน้อยฉิน ดึกมากแล้ว ท่านจะไปไหนหรือ? จะไปค่ายฝึกซ้อมนอกเมืองกระมัง?”
“ข้าได้ยินนายกองสวีบอกว่า ท่านกำลังวางแผนจะสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในครานี้”
“ไม่ทราบว่า… มีตำแหน่งงานว่างในกองทัพใหม่หรือไม่?”
นายกองหลี่ ผู้เล่าเหตุการณ์ประจำโต๊ะทราย เขายิ้มแย้ม ดวงตาเป็นประกายสดใสท่ามกลางฉากหลังยามค่ำคืน
บัดนี้ฮ่องเต้ได้มอบอำนาจการแต่งตั้งแม่ทัพให้กับฉินเฟิงแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ใครจะสามารถไปที่แนวชายแดนและสู้รบกับเป่ยตี๋ได้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของฉินเฟิง
อย่าว่าแต่นายกองหลี่ แม้แต่แม่ทัพรุ่นเยาว์ของกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ กองทัพค่ายตะวันออกและตะวันตกก็ยังคิดอย่างหนัก พยายามทุกวิถีทางเพื่อติดต่อกับฉินเฟิง
น่าเสียดาย…
ตั้งแต่พิธีชำระอาภรณ์ นายน้อยเจ้าสำราญก็หายตัวไปจนไม่เห็นหัวเห็นหาง เป็นเรื่องยากนักที่จะได้พบเขาสักที
เช่นนี้แล้วนายกองหลี่จะไม่ตื่นเต้นที่ได้พบกับฉินเฟิงระหว่างการลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างไร
เขาวางแขนโอบไหล่นายน้อยฉิน หลีกเลี่ยงหูตาโดยรอบ และแอบถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉิน ช่วงนี้นายกองสวีเคยพูดถึงข้ากับเจ้าบ้างหรือไม่?”
ฉินเฟิงจะไม่รู้ความคิดของแม่ทัพหนุ่มเหล่านี้ได้อย่างไร?
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ซ่อนตัวตลอดสองวันที่ผ่านมาหรอก
ทุกคนล้วนเป็นบุตรหลานในเมืองหลวง เงยหน้าไม่พบก้มหน้าก็ได้เจอ ถ้ามาขอความช่วยเหลือถึงที่ หากไม่ช่วยก็ไร้เหตุผล จริง ๆ ถ้าช่วยแล้ว อย่างไรก็หลีกหนีไม่พ้นเรื่องการยัดคนเข้าไป ดังนั้นการไม่พบหน้าจึงเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด
ทว่าเมื่อเวลานี้เขาหลบอย่างไรก็ไม่พ้น ฉินเฟิงจึงแสร้งทำเป็นโง่งม และพูดว่า “พูดแล้ว!”
เมื่อได้ยิน นายกองหลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นทันที “พูดว่าอันใดบ้าง?”
ฉินเฟิงแอบยกนิ้วโป้งให้นายกองหลี่ แต่กลับยกรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นที่มุมปาก “เขาบอกว่าเจ้ามีแขนที่แข็งแกร่งและเป็นคนทำงานมือดี ตอนนี้ลานฝึกซ้อมกำลังสร้างรั้วปิดล้อม หากขาดแคลนกำลังคนก็สามารถให้เจ้าช่วยทำงานได้”
มุมปากของนายกองหลี่กระตุกทันที
ทำงาน?!
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ