บทที่ 232 ข่าวลือแพร่ไปไกลแล้ว
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมขุนนางที่รับคำฟ้องร้องไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเองอยู่บ้าง
ขุนนางเล็ก ๆ เท่าเม็ดงาเพียงขั้นเก้าสามารถก่ออาชญากรรมร้ายแรงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? แค่เลือกออกมาหนึ่งคดีก็เพียงพอจะฉีกเขาทั้งเป็นแล้ว
กระบวนการจัดการกับขุนนางเล็ก ๆ เท่าเม็ดงาเช่นนี้ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อฮ่องเต้
เริ่มจากไล่ออกจากตำแหน่งขุนาง แล้วปรึกษากับขุนนางกรมตุลาการ อาชญากรรมแต่ละคำร้องสอดคล้องกับกฎหมายแต่ละข้อ เมื่อตรวจสอบและได้รับการอนุมัติก็ประกาศโทษประหารชีวิตของเฉินลี่ และไม่จำเป็นต้องพามาตัดสินโทษที่เมืองหลวง แค่ส่งตัวไปยังศาลาว่าการที่ใกล้ที่สุดเพื่อประหารชีวิตแทนก็เป็นอันเสร็จเรื่อง
สุดท้ายจึงวาดกากบาทในตำแหน่งขุนนางเมืองเป่ยซี
ด้วยวิธีนี้จะถือว่าตำแหน่งขุนนางในเมืองเป่ยซี ‘ว่าง’ ลง และพวกเขาสามารถรายงานต่อฮ่องเต้ได้ในช่วงปลายเดือน
ส่วนการแต่งตั้งนายอำเภอนั้นไม่จำเป็นต้องรบกวนฮ่องเต้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จวนว่าการท้องถิ่นสามารถตัดสินใจได้เอง หากยังมีตำแหน่งว่างภายในสามเดือน กรมขุนนางจะเป็นผู้แต่งตั้งให้
ในเวลาสั้น ๆ แค่วันเดียวก็รู้ผลแล้ว
ขณะที่กรมขุนนางกำลังจะส่งจดหมายกลับไปยังเมืองเป่ยซี จู่ ๆ คนรับใช้จวนตระกูลเกาก็ส่งจดหมายลับมาเสียก่อน
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมขุนนางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมายลับ “แต่งตั้งฉินเฟิงให้ทำหน้าที่เป็นนายอำเภอเมืองเป่ยซีทันที?!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้รองเลขาธิการกรมขุนนางซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต รีบลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นความตั้งใจของมหาเสนาเกาจริงหรือ? พวกเรามีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างจากฉินเทียนหู่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉินเทียนหู่ก็เป็นเสนาบดีกรมกลาโหมที่มีเกียรติเช่นกัน”
“เมืองเป่ยซีเป็นดินแดนยากจนและเลวร้าย การให้บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมทำหน้าที่เป็นนายอำเภอของเมืองเป่ยซี นั่นไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานหรือกฎหมายของต้าเหลียงเลย”
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมขุนนางถอนหายใจ สายตาซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง “แม้ว่าขุนนางในเมืองหลวงจะทำผิดพลาดก็ยังมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกลดตำแหน่งไปยังสถานที่เช่นเมืองเป่ยซี ครานั้นฮูหยินฉินถูกลดตำแหน่งกลับไปยังเมืองเป่ยซีเป็นเพราะนางทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคือง ถ้าเราตัดสินใจโดนพลการ ข้าเกรงว่าจะเป็นการผูกความบาดหมางกับจวนตระกูลฉินแล้ว”
รองเลขาธิการกรมขุนนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเกี่ยวกับวิธีการรับมือ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ด้านหนึ่งคือจวนตระกูลฉิน อีกด้านคือมหาเสนาเกา พวกเราทั้งสองไม่สามารถล่วงเกินใครได้ ดังนั้นทำได้เพียง… เลือกสิ่งที่เลวร้ายน้อยที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้ช่วยเสนาบดีกรมขุนนางก็กัดฟันออกหนังสือแต่งตั้ง
คนส่งสารรับคำตัดสินของเฉินลี่ รวมถึงจดหมายแต่งตั้งของฉินเฟิง จากนั้นก็ออกจากกรมขุนนางไปยังจวนตระกูลฉิน และมอบจดหมายของฉินเฟิงให้กับฉินเทียนหู่
นับตั้งแต่ฉินเฟิงออกจากเมืองหลวง ฉินเทียนหู่ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอด เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไร กระทั่งเมื่อเขาเห็นเนื้อหาในจดหมาย ใบหน้าของฉินเทียนหู่ก็สว่างไสวทันที เขาตบโต๊ะเสียงดังและตะโกนอย่างตื่นเต้น “เยี่ยมมาก! สมกับเป็นบุตรชายของข้าฉินเทียนหู่!”
ไม่นานหลังจากนั้น หลิ่วหงเหยียนและลูกสาวคนอื่น ๆ ก็มาทันทีหลังจากทราบข่าว
เมื่อได้รู้ว่าฉินเฟิงช่วยท่านแม่สำเร็จ หญิงสาวทั้งสามก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้
หลิ่วหงเหยียนที่กังวลมาหลายวันรู้สึกโล่งใจ ใบหน้าเล็ก ๆ แดงระเรื่อเพราะความตื่นเต้น นางถามอย่างร้อนใจ “ท่านแม่และน้องสามปลอดภัยไร้กังวลแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? ดียิ่งนัก! ข้าขอบังอาจถามท่านพ่อ เฟิงเอ๋อร์ทำสำเร็จได้อย่างไรกัน?”
หลิ่วหงเหยียนประเมินสถานการณ์การช่วยเหลือท่านแม่ในแง่มุมที่เลวร้ายมาโดยตลอด
แม้นางจะไม่เข้าใจเรื่องการทหารแต่นางก็เข้าใจหลัก ‘ความรวดเร็วสำคัญที่สุดในสงคราม’ ปฏิกิริยาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงนั้นรวดเร็วมาก หลังจากค้นพบแผนการของเป่ยตี๋ พระองค์ก็ส่งรายงานฉุกเฉินทันที อย่างไรก็ตาม ในสถานที่ที่ห่างออกไปหลายพันลี้ กว่าจะไปถึงเขตเป่ยซีก็คงจะสายเกินไปแล้ว
การที่ฉินเฟิงไปถึงเมืองเป่ยซีหลังจากนั้นไม่กี่วันและช่วยเหลือท่านแม่กับน้องสามได้สำเร็จ สำหรับหลิ่วหงเหยียนแล้ว นี่เทียบเท่ากับปาฏิหาริย์
ฉินเทียนหู่เองก็ประหลาดใจ อีกทั้งยังภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นเรื่องนี้ยังเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ของตระกูลฉิน ไม่เกี่ยวข้องกับความลับทางทหาร เสนาบดีกรมกลาโหมจึงพูดต่อหน้าทุกคน “เฟิงเอ๋อร์มีส่วนช่วยอย่างมาก แต่เรื่องนี้เมื่อพูดไปแล้ว ตระกูลฉินของเราถือว่ามีข้อได้เปรียบทางชัยภูมิ”
“พวกทหารลาดตระเวนเป่ยตี๋โจมตีหมู่บ้านชิงฉืออย่างไม่คาดคิด ต้องขอบคุณเซียวหลานที่ถ่วงเวลาได้นานพอสมควร และการตอบสนองอย่างรวดเร็วของทหารรักษาชายแดน ก่อนที่จะได้รับรายงานด่วนจากฮ่องเต้ พวกเขาได้สังเกตเห็นแผนการร้ายของเป่ยตี๋ตั้งแต่แรกแล้ว จึงส่งกองทัพชายแดนเข้าปิดกั้นทางออกที่สำคัญ บีบบังคับให้ทหารลาดตระเวนเป่ยตี๋จนตรอก”
“ประกอบกับการสนับสนุนจากราษฎร เฟิงเอ๋อร์จึงรีบไปยังเมืองเป่ยซีและได้รับข้อมูลอันล้ำค่าอย่างรวดเร็ว เขาจึงทำลายล้างพวกทหารลาดตระเวนเป่ยตี๋ได้ในคราวเดียว และจับเป็นรองหัวหน้าของหน่วยทหารลาดตระเวนที่เป็นผู้นำกองกำลังไปจับตัวมารดาของพวกเจ้าได้”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ