บทที่ 233 เบื้องหน้าชื่นชมลับหลังสาปส่ง
ไม่มีใครรู้ว่าบรรยากาศในห้องทรงพระอักษรยามนี้ช่างน่าหดหู่และหนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่ง
เพล้ง!
เสียงดังคมชัดแหวกผ่านอากาศ ถ้วยชาหลวงของพระราชวังถูกเขวี้ยงจนแตกเป็นชิ้น ๆ
แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเองก็จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขามีโทสะมากขนาดนี้คือเมื่อไหร่
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดสายพระเนตรเย็นชาไปยังมหาเสนาเกาและเสนาบดีกรมขุนนางที่กำลังก้มศีรษะอยู่หน้าพระพักตร์อย่างเงียบเชียบ “ฉินเทียนหู่เป็นขุนนางที่เจิ้นแต่งตั้งให้ดูแลการสงคราม! ฉินเฟิงเองก็สร้างความดีความชอบครั้งแล้วครั้งเล่า ขุนนางและบุตรชายที่ภักดีเช่นนี้ ไม่ให้รางวัลก็แล้วไปเถิด แต่เจ้ายังลดตำแหน่งฉินเฟิงไปเป็นนายอำเภอไร้สาระอันใดที่เป่ยซีอีก หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนใต้หล้าจะมองเจิ้นอย่างไร!”
เสนาบดีกรมขุนนางก้มศีรษะลงไม่กล้าพูดอะไร แม้ภายนอกยังคงสงบ แต่ฝ่ามือกลับมีเหงื่อออกชุ่ม
เมื่อต้องเผชิญกับคำผรุสวาทขององค์ฮ่องเต้ เสนาบดีกรมขุนนางไฉนเลยกล้าตอบโต้
มหาเสนาเกาซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือ “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ กระหม่อมเป็นคนตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ไม่มีความตั้งใจที่จะทำร้ายผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่พูดยังดีเสียกว่า เพราะทันทีที่พูดออกมา ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ยิ่งพิโรธมากขึ้น “พิจารณาอย่างรอบคอบรึ?! เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นไร?!”
แม้ว่าท่าทางของมหาเสนาเกาจะดูถ่อมตน แต่น้ำเสียงหาได้ขลาดกลัว เขาเอ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “เฉินลี่ก่อความผิดมากมาย ต่อให้กรีดร่างทั้งเป็นก็ยังถือว่ามิสาสม ฉินเฟิงเป็นผู้กำจัดเนื้อร้ายก้อนนี้ ทำให้ขุนนางต้าเหลียงกลับมาอยู่ในร่องในรอย สมควรได้รับรางวัล แต่ฉินเฟิงเป็นคนธรรมดาสามัญ หากต้องการเลื่อนตำแหน่งจะต้องเริ่มจากพื้นฐานทีละขั้น ดังนั้น วันนี้ให้เริ่มจากตำแหน่งต่ำอย่างนายอำเภอก่อน วันหน้าก็สามารถเลื่อนตำแหน่งต่อไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คือรางวัล แต่ก็ยังต้องมีการลงโทษด้วย”
“ท้ายที่สุดแล้วนายน้อยฉินเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แม้ว่าเฉินลี่สมควรตายก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะจัดการ หากบุตรหลานในเมืองหลวงสามารถจัดการกับขุนนางได้ตามใจชอบ เช่นนี้แล้วเหล่าขุนนางจะเป็นเช่นไร กระหม่อมจึงได้ลงโทษฉินเฟิงให้ทำงานในเมืองเป่ยซี นี่ถือว่าเหมาะสมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจ้องมองไปยังเกาหมิงอย่างเย็นชา ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างโกรธเคือง
แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ เหตุเพราะเกาหมิงเป็นหนึ่งในสามขุนนางสำคัญ แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะโพรธเพียงใดก็ไม่สามารถจัดการกับเขาได้เพียงเพราะ ‘เรื่องเล็กน้อย’ ดังกล่าว
นอกจากนี้ การแต่งตั้งฉินเฟิงให้เป็นนายอำเภอประจำเป่ยซีก็เป็นคำสั่งที่ออกโดยกรมขุนนางตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเดินไปรอบ ๆ ชั้นหนังสือ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเกาหมิง เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องความบาดหมางของฉินเฟิงและเกาซง เจิ้นพอได้ยินมาบ้าง พวกบุตรหลานในเมืองหลวงรวมตัวกันเป็นกลุ่มทะเลาะวิวาทกันมาแต่ไหนแต่ไร อย่าว่าแต่เจิ้นเลย พวกขุนนางในที่แห่งนี้เองก็เห็นจนชินตาแล้ว”
“ไม่ว่าบรรดาบุตรหลานจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่พวกขุนนางก็มักจะเมินเฉย มหาเสนาเกา ไม่ว่าจะในฐานะคนทั่วไป หรือในฐานะขุนนาง ท่านก็อย่าได้ใจแคบเกินไปนัก”
มหาเสนาเกายังคงก้มศีรษะลง แต่ดวงตาเผยให้เห็นความเย็นชา ทุกคำพูดที่เขากล่าวออกมา ฟังดูภักดีเป็นอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว ฉินเฟิงเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อช่วยเหลือมารดา แม้ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เขาก็ได้ลักลอบนำทหารม้าเป็นร้อยนายไปด้วย ขุนนางในราชสำนักก็ลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งต่อเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครถือโอกาสใส่ร้ายเขา”
“กระหม่อมเห็นแก่ความกระตือรือร้นของบุตรชายที่จะช่วยมารดาจึงไม่เอาความเรื่องโยกย้ายกำลังทหารเพื่อการส่วนตัว”
“กระหม่อมได้หารือเรื่องนี้กับกรมขุนนางและแต่งตั้งฉินเฟิงเป็นนายอำเภอเมืองเป่ยซี ล้วนเป็นเพราะเรื่องของบ้านเมือง ไร้ความแค้นส่วนตัวมาเกี่ยวพ่ะย่ะค่ะ”
“ยามฮ่องเต้ผู้ล่วงลับยังอยู่ กระหม่อมก็ได้รับตำแหน่งมหาเสนา อีกทั้งยังรับใช้ฝ่าบาทมาจนถึงทุกวันนี้ ความภักดีของกระหม่อมฟ้าดินเป็นพยาน!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ