บทที่ 236 นายอำเภอคนใหม่ไฟแรง
ทันทีที่ฉินเฟิงเห็นตัวเลขจำนวนประชากร เขาก็พลันตกใจ มีผู้คนอย่างน้อยสี่ถึงห้าล้านคนในเมืองที่ใกล้เมืองหลวง
ประชากรของเมืองเป่ยซีมีน้อยขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทว่าหลังจากคิดถึงเรื่องนี้โดยถี่ถ้วนแล้ว ฉินเฟิงก็รู้สึกโล่งใจ
ในยุคปัจจุบัน นอกจากพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นเช่นเมืองหลวง
อำเภอที่มีประชากรหนึ่งแสนคนถือเป็น ‘อำเภอชั้นสูง’
ไม่น่าแปลกใจที่เมืองไกลปืนเที่ยงอย่างเป่ยซีจะมีประชากรเพียงสามหมื่นกว่าคนเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ยุคสมัยนี้อายุขัยเฉลี่ยของผู้คนไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ
ประชากรขาดแคลน กำลังแรงงานต่ำ ทรัพยากรน้อย และสภาพคล่องเลวร้าย ทั้งหมดล้วนทำให้สมองของฉินเฟิงส่งเสียงวิ้ง ๆ
แต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
แม้ว่าจำนวนประชากรจะร่อยหรอ ทว่านั่นสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเจือจุนราษฎรได้ไม่น้อย
ช่วงเวลานี้ทั่วทั้งตัวเมืองมืดสนิท มีเพียงห้องโถงของศาลาว่าการเท่านั้นที่ยังคงสว่างไสว
ฉินเฟิงนั่งอยู่ในห้องโถง ดีดลูกคิดเสียงดังป๊อกแป๊ก ๆ ไม่มีท่วงท่าของขุนนางเลยสักนิด ดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่าที่ทำกิจการมานานปีเสียมากกว่า
ชายหนุ่มรู้ดีว่าการหาปลาให้คนไม่สู้การสอนคนให้จับปลา เขาจึงออกคำสั่ง “ทุกวันนี้มีสงครามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การเก็บเกี่ยวเสบียงรอบ ๆ เมืองเป่ยซีนั้นย่ำแย่ อีกทั้งราคาอาหารก็เพิ่มสูงขึ้น หนิงหู่เจ้านำทหารองครักษ์ไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน จัดสรรกำลังคนไปยังสถานที่ที่อยู่ห่างจากเมืองเป่ยซีไปสักหน่อยเพื่อหาซื้อเมล็ดพืช เอาข้าวฟ่างราคาถูกเป็นหลัก เราจะปลูกมันบนพื้นที่สามหมื่นหกพันหมู่”
ฉินเฟิงหยิบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงินออกมามอบให้หนิงหู่ ยิ่งตอนนี้จ่ายมากเท่าใด ในอนาคตเขาก็จะได้จ่ายน้อยลงมากเท่านั้น ท่านโหวหนุ่มรีบไปจัดการทันที
จากนั้นฉินเฟิงก็มองดูปัญญาชนที่มารวมตัวกันอยู่
เหล่าปัญญาชนอัดแน่นอยู่ในห้องโถงและห้องเล็ก ๆ พวกเขามีทั้งหมดสองร้อยเจ็ดคน หากไม่รวมพวกทึ่มที่อ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่คำ คนสองร้อยคนก็ถือได้ว่าเป็นปัญญาชนทั้งหมดที่หาได้ในเขตเป่ยซี
แม้เหล่าปัญญาชนจะไม่รู้ว่าฉินเฟิงกำลังจะทำอะไร แต่เมื่อนายน้อยฉินมาเมืองเป่ยซีในครั้งแรก เขาก็จัดการกับคดีที่ไม่ยุติธรรม คดีเท็จและเรื่องผิดกฎหมายแล้ว จากนั้นก็ส่งหนิงหู่ไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืชอีก ปัญญาชนทั้งหมดจึงไม่สงสัยในตัวฉินเฟิงเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขาจึงทำเพียงแค่รอคอยเท่านั้น
ฉินเฟิงมองไปรอบ ๆ และถามเบา ๆ “มีซิ่วไฉ*[1] อยู่ที่นี่บ้างหรือไม่?”
ที่แห่งนั้นเงียบกริบ ไม่มีใครขานรับสักคน
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เจ้าเศษสวะเฉินลี่ ก่อภัยพิบัติให้เมืองเป่ยซีจนกลายเป็นอันใดไปแล้ว ผู้คนหลายหมื่นคนไม่แม้แต่จะผลิตซิ่วไฉออกมาได้
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกสิ่งที่รองลงมา “มีถงเซิง*[2] หรือไม่?”
คราวนี้มีชายชราจำนวนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน
คนที่อายุน้อยที่สุดคือห้าสิบปีเป็นอย่างต่ำ ดินเหลืองแทบจะกลบมาถึงคอแล้วนั่น
เมื่อเห็นเหล่าชายชราคุกเข่าคำนับ ฉินเฟิงก็รีบให้ปัญญาชนที่อยู่ข้าง ๆ ช่วยพยุงพวกเขาลุกขึ้น ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะคุกเข่าแล้วลุกไม่ไหวจนตายในห้องโถงขึ้นมา
เท่าที่ฉินเฟิงรู้ ใครก็ตามที่มีการศึกษาแต่ไม่ได้เป็นซิ่วไฉถือได้ว่าเป็นถงเซิง
แต่ถงเซิงไม่เท่ากับบัณฑิต
ชายชราทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้า เหลือฟันไม่ครบซี่ด้วยซ้ำ
ฉินเฟิงรู้สึกสับสน เขารีบนำสิบตำลึงเงินออกมา แล้วแจกให้พวกเขาคนละสองตำลึง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าทุกท่าน ข้าทำให้การเดินทางมาในคืนนี้เปล่าประโยชน์เสียแล้ว นำเงินสองตำลึงนี้กลับไปซื้ออาหาร แล้วไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากส่งชายชราทั้งห้าคนออกไปแล้ว ฉินเฟิงก็มองไปยังปัญญาชนที่เหลืออยู่ซึ่งต่างก็กำลังสับสน พลางถอนหายใจ “มีใครที่กำลังศึกษาอยู่ มีอายุมากกว่ายี่สิบปี แต่ต่ำกว่าสี่สิบปีหรือไม่?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ