บทที่ 254 ทูลขออย่างใจกล้าบ้าบิ่น
ฉินเทียนหู่ขมวดคิ้วมุ่น แม้นมิได้ออกปากห้ามปราม กระนั้นในใจก็กังวลเหลือแสน
ส่วนหลี่ซวี่ไม่รอช้า ก้าวออกมา ตำหนิเสียงดัง “บังอาจนัก! เช่นนี้แล้วเมืองเป่ยซีมิกลายเป็นหมูในอวยของเจ้ารึ ฉินเฟิง! แผ่นดินนับหมื่นลี้แห่งต้าเหลียงล้วนเป็นของหลวง กฎหมายที่มีการแบ่งที่ดินศักดินาให้ขุนนางถูกยกเลิกไปกว่าร้อยปีแล้ว ไฉนเลยต้องกลับเป็นเช่นเดิมเพราะเจ้าผู้เดียว อีกทั้งเมืองเป่ยซีเกี่ยวพันถึงชะตาแผ่นดิน จะปล่อยให้อยู่ในมือเจ้าเพียงผู้เดียวได้อย่างไร? หากความมั่นคงของแคว้นต้าเหลียงล้วนเป็นไปตามเจ้าตัดสินใจ แล้วแคว้นต้าเหลียงจะเป็นอย่างไร? เจ้าเอาฝ่าบาทไปไว้ที่ไหน?”
“ข้าดูแล้วเจ้าตั้งใจช่วงชิงอำนาจเห็น ๆ!”
เมื่อถูกกล่าวหาด้วยเรื่องนี้ ชีวิตของฉินเฟิงก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย
แม้นฉินเทียนหู่จะเข้าใจว่าฉินเฟิงนั้นหวังดีต่อต้าเหลียง กระนั้นการกระทำนี้ก็บุ่มบ่ามเกินไป นับเป็นเรื่องที่มิมีผู้ใดในใต้หล้าเห็นดีเห็นงาม หากเผลอไผลจักต้องถูกฝ่าบาทเคลือบแคลงเป็นแน่
ฉินเทียนหู่มิกล้ารีรอ ก้าวเข้าไปยกเท้าถีบฉินเฟิงจนล้มหมดท่ากับพื้น พร้อมต่อว่าเสียงดัง “จริงอยู่ที่เจ้าสร้างคุณูปการไว้อย่างน่าทึ่ง กระนั้นหากหยิ่งผยองด้วยเหตุนี้ มิต้องให้ฝ่าบาทมีพระดำริหรอก ข้าจักหักขาของเจ้าเอง!”
ฉินเฟิงชูมือสองข้าง ร้องลั่นไม่ได้ศัพท์ ปัดป้องฝ่าเท้าฉินเทียนหู่ไปพลาง ร้องครวญใส่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไปพลาง “กระหม่อมเพียงแค่เห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่แคว้นต้าเหลียงเท่านั้น หากฝ่าบาทมิทรงเห็นชอบก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่ากระหม่อมมิเคยกล่าว”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมีท่าทีใคร่ครวญ เนิ่นนานก่อนจะโบกมือ “ค่อยหารือเรื่องนี้ทีหลัง!”
ที่ว่าหารือทีหลัง หมายความว่าจะเก็บไปพิจารณา
หลี่ซวี่ไฉนเลยจะยอม เขารีบกราบทูล “ฝ่าบาท…”
ทว่าไม่ทันได้จบประโยค ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพลันตัดบทด้วยสายตาเยียบเย็น “ใต้เท้าหลี่มีเรื่องใดอีกหรือ?”
หลี่ซวี่พูดอันใดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าด้วยความเจ็บใจ “ขอฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกาย”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแค่นเสียงเย็น “เจิ้นรู้แล้ว!”
อีกด้าน หลี่จ้านเห็นดังนั้นก็รีบแผดเสียง “มีกิจจงกราบทูล ไร้กิจขอประกาศเลิกหารือ”
เมื่อเห็นขุนนางราชสำนักทั้งบุ๋นและบู๊ต่างเงียบเชียบ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจึงลุกขึ้น จากไป
เดิมอยู่ในบรรยากาศปีติยินดี แต่กลับต้องแยกย้ายกันท่ามกลางความไม่สบอารมณ์เพราะคำทูลขออย่างใจกล้าบ้าบิ่นของฉินเฟิง
หลังออกจากท้องพระโรง ฉินเทียนหู่คว้าคอฉินเฟิง ดวงตาเบิกกว้าง โกรธจนแทบกินเลือดกินเนื้อบุตรชาย เขาต่อว่าเสียงต่ำ “เจ้าเด็กเวร เดิมจะได้กอบโกยผลประโยชน์มากมายด้วยคุณูปการอันน่าทึ่งนี้ บัดนี้ดีนัก วาจาของเจ้าทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ไยเจ้าต้องทำเรื่องเช่นนี้ด้วย?!”
ฉินเฟิงหดคอ ทำหน้าตาหวาดกลัวนัก “ท่านพ่อ วาจาจริงใจมักระคายหู”
เมื่อได้ยินดังนี้ ฉินเทียนหู่ก็ง้างฝ่ามือยักษ์ใหญ่ประดุจกรงเล็บหมีฟาดสันหลังบุตรชาย “ต่อให้เป็นวาจาจริงใจก็ต้องพิถีพิถันในวิธีการสื่อสาร! เจ้าเรียกร้องในสิ่งที่ไร้เหตุผลเยี่ยงนี้ต่อหน้าธารกำนัลจะให้ฝ่าบาทรับปากเจ้าได้อย่างไร”
เวลานั้นเอง ขันทีน้อยผู้หนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ใต้เท้าฉิน ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกท่านเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร”
ด้วยเหตุนี้ ฉินเทียนหู่ถึงยอมปล่อยมือจากคอฉินเฟิง พยักเพยิดไปทางขันทีน้อยพลางเอ่ย “นำทางไปเถอะ”
ขันทีน้อยกลับมิได้รีบร้อนออกเดิน หากแต่มีสีหน้ากระดาก “ท่านเสนาบดีเข้าใจผิดแล้ว ใต้เท้าฉินที่ฝ่าบาทเรียกพบคือบุตรชายของท่าน”
ฉินเทียนหู่ผงะ เพิ่งนึกได้ว่าบัดนี้ฉินเฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอเมืองเป่ยซี มีตำแหน่งในราชสำนัก มิใช่สามัญชนอย่างเมื่อครั้งอดีตแล้ว จากนั้นใบหน้าชราภาพก็แดงเถือก ยกเท้าเตะฉินเฟิงพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใต้เท้าฉิน เชิญ!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ