เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 26

บทที่ 26 เข้าพบฮ่องเต้

หลังหลี่จ้านกราบทูลเสร็จ รอจนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงถึงเรียกฉินเฟิงเข้าเฝ้า ชายหนุ่มจึงได้สาวเท้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร

ห้องทรงพระอักษรเป็นห้องทำงานของฮ่องเต้ ใช้สำหรับดำเนินการเรื่องสำคัญ อย่างการพิจารณาฎีกา จะกล่าวว่าห้องนี้เป็นจุดสูงสุดแห่งอำนาจของแคว้นต้าเหลียงก็ย่อมได้

การตกแต่งภายในของห้องทรงพระอักษรห่างไกลจากความสง่างามที่ฉินเฟิงจินตนาการไว้มาก เพราะนอกจากเครื่องใช้บางอย่างที่แสดงถึงอำนาจของฮ่องเต้แล้ว ข้าวของส่วนใหญ่ค่อนข้างทันสมัยและสง่างาม

เมื่อขันทีหลี่รออยู่หน้าประตู ในห้องทรงพระอักษรจึงมีคนอยู่เพียงสองคนคือฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงและบิดาของเขาฉินเทียนหู่ ที่นี่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลคอยรับใช้ด้วยซ้ำ อีกฝ่ายคงต้องการรักษาความลับให้ได้มากที่สุด

ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง พบว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุราวสี่สิบต้น ๆ หน้าตาไม่ถือว่าหล่อเหลา แต่กลับให้ความรู้สึกลึกลับ ยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเห็นบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมมองมา ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็แย้มพระโอษฐ์พลางทอดพระเนตรมองนิ่ง

จากนั้น… ก่อนที่ฉินเฟิงจะทันได้ตอบโต้ ฉินเทียนหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เตะก้นเขาเต็มแรง ผู้เป็นพ่อตัวสั่นด้วยความโกรธ เขากัดฟันและตะโกนว่า “ลูกเนรคุณ กล้ามองพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรงได้อย่างไร ยังไม่รีบคุกเข่ารับผิดอีก!”

ฉินเฟิงรู้สึกมึนงงในตอนแรก แต่แล้วเขาก็จำได้ว่ากฎในการเข้าพบฝ่าบาทนั้นเข้มงวดมาก ก่อนที่จะได้รับอนุญาต ห้ามเงยหน้ามองพระพักตร์โดยตรงเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกสงสัยว่าคิด ‘ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้’ ในกรณีนี้สามารถลากตัวไปตัดหัวที่ลานประหารได้ทันที

แต่นายน้อยตระกูลฉินเห็นหมดแล้ว ถ้าก้มหัวลงตอนนี้ ก็เท่ากับต้องรับผิดไปเต็ม ๆ น่ะสิ

ขณะที่ฉินเทียนหู่จ้องมองบุตรชายด้วยแววตาอาฆาต ฉินเฟิงก็เกาท้ายทอยพลางยิ้ม “กระหม่อมตื่นเต้นที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท จนลืมมารยาทไปชั่วขณะ”

ระหว่างที่พูด นายน้อยตระกูลฉินก็ทำความเคารพและโค้งคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไปด้วย “กระหม่อมฉินเฟิง ถวายบังคมฝ่าบาท”

ฉินเทียนหู่เบิกตากว้าง เขาใช้สองมือบีบเข้าที่ซี่โครงของฉินเฟิงจนชายหนุ่มต้องกัดฟันเพราะความเจ็บปวด โชคยังดีที่ห้ามตัวเองไม่ให้ร้องออกมาได้

“แม้แต่ท่านอ๋องยังต้องคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพต่อฝ่าบาท แต่เจ้า… เจ้าบุตรทรพี เจ้าขวัญกล้าเทียมฟ้าและทำเพียงแค่โค้งคำนับหรือ” ฉินเทียนหู่ปล่อยมือจากลูกชาย จากนั้นก็หันหลังกลับมาคุกเข่าลงบนพื้นพลางเอ่ยเสียงขรึม “ขอประทานอภัยฝ่าบาท ไม่รบกวนทหารรักษาพระองค์ กระหม่อมจะตัดศีรษะบุตรเนรคุณผู้นี้ต่อหน้าธารกำนัลเอง!”

ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแย้มพระโอษฐ์ เพิกเฉยต่อฉินเทียนหู่ แต่ทอดพระเนตรไปที่ฉินเฟิงอย่างสนอกสนใจ

ตั้งแต่โบราณ ผู้มีความสามารถมักเป็นผู้ที่มีนิสัยผิดแผกแปลกประหลาด อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้ค่อนข้าง ‘พิเศษ’ ทีเดียว

ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเอื้อมพระหัตถ์หยิบฎีกาเล่มเล็กขึ้นมาวางไว้ข้างโต๊ะ “เนื้อหาแต่ละอย่างในนี้ เป็นความจริงหรือไม่”

ฉินเฟิงก้าวไปรับฎีกาเล่มเล็กมาโดยปราศจากความลังเล ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างโต๊ะและเปิดอ่าน ท่าทางของอีกฝ่ายเกือบทำให้ฉินเทียนหู่ตกใจจนหมดลม แม้แต่หลี่จ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูก็หน้าซีดตัวสั่นไปทั้งร่าง

…นับตั้งแต่บุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมก้าวเข้าประตูมา อีกฝ่ายได้กระทำการเสี่ยงตายหลายครั้งต่อหลายครั้ง หากเป็นคนอื่นคงถูกตัดหัวไปหลายร้อยรอบแล้ว

ตรงกันข้าม ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกลับสงบนิ่ง เมื่อครู่หากฉินเฟิงไม่มารับฎีกาไปด้วยท่าทางแบบนั้น ก็จะพิสูจน์ได้ว่าเด็กคนนี้จงใจแสร้งเป็นบ้า หากเป็นเช่นนั้น เขานี่แหละจะรับสั่งให้พามันออกไปตัดศีรษะเสีย

นายน้อยตระกูลฉินพลิกดูเนื้อหาในฎีกา ปรากฏเหตุการณ์ตั้งแต่ฉินเฟิงตกน้ำ เทศกาลชุมนุมกวี ไปจนถึงการทุบตีบุตรหลานขุนนางที่หอเซียนเมามาย ความผิดทั้งหมดของเขาได้รับการบันทึกโดยละเอียด ไม่จำเป็นต้องคิด ในเมืองหลวงแห่งนี้มีหน่วยสอดแนมแฝงตัวอยู่เต็มไปหมด

แม้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะประทับอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงลมพัดใบหญ้าไหว*[1] ในเมืองหลวง

ฉินเฟิงไม่แปลกใจในพระปรีชาของฮ่องเต้ เขาวางเล่มฎีกาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยออกมาหน้าซื่อตาใส “เป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นยังติดค้างค่ารักษาข้าอีกหนึ่งแสนตำลึงเงิน”

ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรบุรุษเบื้องหน้าพร้อมแย้มพระโอษฐ์ อย่างไรก็ตาม สายพระเนตรของพระองค์ไม่ได้ยิ้มด้วยเลยสักนิด มันแหลมคมราวกับจะยิงทะลุร่างฉินเฟิงอย่างไรอย่างนั้น

แม้ว่าฉินเฟิงผู้นี้จะประพฤติตัวในทางที่ผิด แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็มีความสุขที่ได้เห็นความสำเร็จในการปราบปรามบุตรหลานขุนนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุตรของเสนาบดีกรมกลาโหมไปยืนด่าตระกูลเฉิงเลขาธิการกรมคลังอยู่หน้าจวน ทั้งยังแต่งบทกวีตลกขึ้นมาอีก เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอดไม่ได้ที่จะทรงพระสรวลอีกครั้ง

ขณะที่ฉินเทียนหู่กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้าลูกชายตัวดีก็เทน้ำเย็นราดหัวเขาอีกครั้ง

ฉินเฟิงมองไปที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงด้วยแววตามุ่งมั่น “กระหม่อมเพียงแค่ให้ยืมเท่านั้น เงินนี้จะต้องชำระคืนในภายหลังนะพ่ะย่ะค่ะ ส่วนดอกเบี้ย…”

ตัวเวรกรรมผู้นี้กล้าที่จะคิดดอกเบี้ยจากฝ่าบาท ฉินเทียนหู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคำรามเสียงต่ำ “หุบปากเดี๋ยวนี้!”

นายน้อยฉินตกใจจนตัวสั่น เขาวิ่งหนีไปข้าง ๆ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ก่อนจะซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะด้วยท่าทางขี้ขลาด

ตึก ตึก ตึก…

ทหารรักษาพระองค์ที่ดูน่าเกรงขามมากกว่าสิบคนพุ่งเข้ามา

ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ “ถอยไป”

ทหารรักษาพระองค์ถอยกลับไป ฮ่องเต้มองดูฉินเทียนหู่ที่เกือบจะสิ้นใจ “เสนาบดีฉิน ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนั้น เจิ้นยังไม่รีบร้อน แล้วเจ้าจะร้อนใจไปไย? บอกฉินเฟิงให้พูดให้จบ”

ด้วยการสนับสนุนของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ฉินเฟิงตัวสั่นระริกระรี้ทันที เขาพูดอย่างมีชัยว่า “เงินของกระหม่อมหาได้ลอยมาตามสายลมไม่ เก็บดอกเบี้ยเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นไรไป”

[1] ลมพัดใบหญ้าไหว : เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ

[2] ขนแพะงอกจากตัวแพะเอง : ได้ทรัพย์สินจากผู้ใดแล้วตอบแทนประโยชน์คืนแก่ผู้นั้นโดยที่ตนเองไม่เสียอะไร ตรงกับสำนวนไทยว่า อัฐยายซื้อขนมยาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ