บทที่ 260 ยกโขยงตามมา
ฉินเฟิงรีบลูบหัวลูบหลังเสี่ยวเซียงเซียงพลางปลอบโยนเสียงอ่อน “พูดเหลวไหลกระไร ต่อให้ข้าไม่ต้องการผู้ใดก็ไม่มีทางไม่ต้องการเจ้า ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย”
เสี่ยวเซียงเซียงเช็ดน้ำตาไปพลาง สะอึกสะอื้นเสียงเบาไปพลาง “นายน้อย จากนี้ไปอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวอีกได้หรือไม่?”
“จากนี้ไป ไม่ว่านายน้อยไปที่ใด ข้าอยากติดตามท่านไปด้วย ต่อให้ที่ที่นั้นเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม”
เมื่อได้ยินดังนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขายกมือขึ้นซับน้ำตาบนแก้มเสี่ยวเซียงเซียงแผ่วเบา สูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดว่า “ข้าขอรับปากกับเจ้า จากนี้ไปจะไม่ทิ้งเจ้าไว้อีก”
เสี่ยวเซียงเซียงยิ้มทั้งน้ำตา พยักหน้ารัวประดุจลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว แล้วโผเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้ง “นายน้อยแสนดีที่สุดเลย”
เสี่ยวเซียงเซียง… เจ้าง้อง่ายไปหน่อยกระมัง…
ฉินเฟิงมีความสุข แต่ก็สงสาร
ยามนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองมีฐานะเช่นไรในใจเสี่ยวเซียงเซียง นี่ไม่เท่ากับตัวเขาคือโลกทั้งใบของนางหรือ
ฉินเฟิงกระชับกอดเสี่ยวเซียงเซียงแน่นไม่ปล่อย
เสี่ยวเซียงเซียงหน้าแดง มิได้ปฏิเสธ ทั้งนางยังกอดฉินเฟิงกลับแน่นอย่างผิดวิสัย ราวกับได้ของที่หายไปคืนมา
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงรู้สึกถึงดวงตาที่ลอบมองมาคู่หนึ่งจากซอกหลืบ เขาจึงแค่นเสียงเบา “ซูเฟิง มานี่!”
ซูเฟิงผู้ ‘ลอบสังเกตการณ์’ ในซอกหลืบเดินกระมิดกระเมี้ยนออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางกล่าวอย่างประหม่า “นายน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ…”
ฉินเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าข้อมือซูเฟิงแล้วดึงมาข้างหน้า ไม่สนใบหน้าแดงเป็นตำลึงสุกของนาง เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้ากลับเมืองหลวงมาตั้งนานกลับไม่ได้เห็นวี่แววเจ้า อะไรกัน? เจ้าลืมวาจาก่อนหน้านี้ของข้าแล้วหรือ? ตราบใดที่ตัวข้าอยู่ในเมืองหลวง เจ้าต้องคอยอารักขาข้าไม่ห่าง”
“บัดนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว เข้าใจหรือไม่?!”
ฉินเฟิงขบเขี้นวเคี้ยวฟัน โอบเอวซูเฟิงแล้วรั้งมาข้างหน้า
ซูเฟิงตื่นเต้นจนแทบเป็นลม นางเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงส่งเสียงที่มิได้ดังไปกว่ายุงนักออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อยโปรดอภัยให้ข้าด้วย…”
จากที่ฉินเฟิงทราบมา สตรีผู้มีวรยุทธ์ล้วนเจ้าอารมณ์
อย่างเช่นเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์
และอย่างเช่นจิ่งเชียนอิ่ง
มีเพียงซูเฟิงผู้นี้ที่วรยุทธ์เก่งกาจ ทว่ามีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนิ่มประดุจซาลาเปา นางปล่อยให้ชายหนุ่มกระทำได้ตามอำเภอใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยฉินเฟิงต้องเกรงใจด้วยเล่า
เขาระบายความอัดอั้นที่ได้รับจากจิ่งเชียนอิ่งเมื่อครู่กับซูเฟิงทั้งหมด
ชั่วขณะนั้น เสียงกรีดร้อง เสียงร้องขอความเมตตา เสียงหัวร่อต่อกระซิก จึงดังสะท้อนอยู่ด้านหลังจวน…
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ บรรยากาศในค่ายเทียนจีอออกจะเคร่งขรึมเกินไปหน่อย
สวีโม่กับองครักษ์อีกสองร้อยเจ็ดสิบเจ็ดคนกำลังรออยู่หน้าประตูใหญ่ค่ายเทียนจี
นอกจากองครักษ์ยี่สิบคนที่อยู่ช่วยหลินฉวีฉีอารักขาเมืองเป่ยซี ยังมีองครักษ์อีกสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่บาดเจ็บและมีผ้าพันแผลตามตัว
โดยเฉพาะองครักษ์ห้านายที่ประมือกับจงหลิงในคราแรก พวกเขาบาดเจ็บค่อนข้างหนัก กระนั้นก็ยังมารออยู่หน้าประตูใหญ่ พวกเขากำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้
สวีโม่ยังต้องยืน แต่องครักษ์ห้านายนี้กลับได้นั่ง นับว่าอึดอัดพอสมควร
ทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นคำสั่งของสวีโม่ องครักษ์ทั้งห้าจำต้องทำตาม
ทหารใหม่สองกองเพิ่งฝึกซ้อมเสร็จ กำลังพักอยู่ในสนามไม่ไกล เหล่าองครักษ์ผู้องอาจกล้าหาญพวกนั้นต่างก็มีสายตาเร่าร้อน
“คิดไม่ถึงจริง ๆ องครักษ์เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากหน่วยลาดตระเวน ตามหลักแล้วมิใช่ทหารออกรบ เพียงแต่ได้ติดตามนายน้อยฉิน บัดนี้จึงกลายมาเป็นมือดีแนวหน้าของแคว้นต้าเหลียงไปแล้ว ช่างน่าอิจฉานัก”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ