บทที่ 261 ซื้อใจ
ทุกคนจำได้ทันทีว่านั่นคือรถม้าตระกูลฉิน
ฉินเฟิงถือโอกาสที่ตาเฒ่าฉินไม่ได้ไปร่วมประชุมราชการจึงไม่ต้องใช้รถม้า ลอบ ‘ยืม’ ออกมาใช้ ถึงอย่างไร ตามข้อบังคับของกรมพิธีการ ก็ใช่ว่าผู้ใดในเมืองหลวงจะมีสิทธิ์ใช้รถม้าได้
ต่อให้ฐานะของลูกหลานขุนนางเมืองหลวงจะสูงส่งเพียงใด ขาก็ต้องติดพื้น ขืนบังอาจใช้รถม้า ใช้เกี้ยวตามอำเภอใจ หรือขี่ม้าชนกัน ล้วนต้องได้รับโทษ
ฉินเฟิงนั่งรถม้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อยจนกระทั่งถึงประตูเมือง จึงกล้าให้บ่าวรับใช้เร่งฝีเท้าม้า
เมื่อมาถึงประตูค่ายเทียนจีโดยมีเสี่ยวเซียงเซียง ซูเฟิง และฉินเสี่ยวฝูตามมาด้วย ฉินเฟิงก็เลิกม่านก้าวลงมา และให้คนขับรถม้านำรถม้าไปจอดไกล ๆ อย่าได้ขวางทางเส้นนี้
เห็นว่ามีนายน้อยมารวมตัวกันไม่น้อย ฉินเฟิงพลันขมวดคิ้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรนัก “พวกเจ้ามาทำกระไรที่นี่? จะมาอยากมีส่วนร่วมอันใด ไสหัวไปให้หมด”
ฉินเฟิงมิเคยเกรงอกเกรงใจเหล่านายน้อยแห่งเมืองหลวงมานานแล้ว ทุกคนชินกันหมด จึงมิมีผู้ใดแก้ต่าง
หนิงหู่เห็นดังนั้นก็รีบก้าวเข้ามาด้วยสีหน้ากระดากนัก “พี่ฉิน ข้าพาคนเหล่านี้มาเอง”
หนิงหู่เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฉินเฟิงฟังทั้งหมด
เมื่อรู้ว่าคนเหล่านี้มาเยี่ยมชมค่ายเทียนจี สีหน้าฉินเฟิงถึงดีขึ้นมาบ้าง กระนั้นก็ยังคงโบกมือ “ใช่ว่าข้าฉินเฟิงไม่มีความเห็นอกเห็นใจ อยากเยี่ยมชมค่ายเทียนจีใช่ว่าไม่ได้ ทว่าต้องรอให้จัดการกิจหลักเสียก่อน พวกเจ้าถอยออกไปหน่อย อย่าได้ขวางทาง!”
แม้จะถูกฉินเฟิงด่าทอไปยกหนึ่ง แต่เมื่อแน่ใจว่าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมค่ายเทียนจีได้ เหล่านายน้อยจึงยังยินดี รีบให้ความร่วมมือยอมหลีกทางให้
ขณะเดียวกัน เสียงกระดิ่งก็ดังใกล้เข้ามามากแล้ว
ไม่นานจึงได้เห็นนักพรตในอาภรณ์สีเหลืองแบกธงวิญญาณอยู่บนบ่า มือซ้ายมีกระดิ่งเรียกวิญญาณ และทุกสองสามก้าวมือขวาจักโปรยกระดาษเงินกระดาษทองจำนวนหนึ่ง
เขาเดินมาทางค่ายเทียนจีไปพลาง ตะโกนเสียงกังวานไปพลาง “คนธาตุหยินออกเดินทาง คนธาตุหยางจงหลบ สิ้นชีพต่างแดน มรณะด้วยความเศร้าโศก ขอผ่านทางให้ใบไม้กลับคืนสู่รากด้วยเถิด”
ด้านหลังนักพรตเป็นขบวนรถ ซึ่งประกอบด้วยรถม้าใหญ่สามคัน
และรถม้าทุกคันล้วนบรรทุกโลงศพไม้สีดำทะมึน
ด้านบนมีธงค่ายเทียนจีปกคลุม
เดิมฉินเฟิงตั้งใจจะคลุมด้วยธงชาติ แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ต้าเหลียงมีธงชาติเสียที่ไหน ยุคสมัยนี้ไม่นิยมของเช่นนั้น อย่างมากก็มีแค่ธงรัชกาล
และธงรัชกาลนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด ขืนนำมาคลุมโลงศพ พรุ่งนี้ฉินเฟิงคงต้องถูกกรมพิธีการส่งลงโลงไปด้วยแน่
ส่วนธงประจำกองทัพของแต่ละค่ายนั้น ในเมื่อเป็นพลทหารจากค่ายเทียนจี ไยต้องคลุมค่ายกองทัพค่ายอื่น
ฉินเฟิงได้แต่เร่งรุดรังสรรค์ธงประจำค่ายเทียนจีขึ้นมาเป็นการด่วน ซึ่งผืนธงมีสีหลักเป็นสีแดง และปักอักษร ‘เทียนจี’ สีน้ำหมึกขนาดใหญ่ไว้บนนั้น
เห็นดังนั้น เหล่านายน้อยในที่นี้ต่างก็อึ้งงัน
“นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงขนโลงศพมาสามโลง”
“เดี๋ยวก่อน! ข้าได้ยินท่านพ่อเล่าว่า ศึกนี้ทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีสละชีพไปสามคน และโลงศพตรงหน้านี้ก็มีสามโลงพอดี หรือว่า…ฉินเฟิงขนศพของทหารองครักษ์ผู้สละชีวิตกลับมาจากเมืองเป่ยซี?! การปฏิบัติเช่นนี้เทียบเท่าระดับแม่ทัพใหญ่แล้ว!”
“อย่าว่าแต่พลทหารธรรมดาเลย แม้แต่นายกองส่วนใหญ่ก็ต้องถูกฝังในพื้นที่สงคราม มีเพียงยามไร้สงคราม หรือยามสงครามสิ้นสุด ถึงจะขนย้ายศพผู้มียศนายกองขึ้นไปกลับมายังแดนมาตุภูมิโดยไม่สนกำลังทรัพย์และกำลังคน เพื่อให้ใบไม้ได้คืนสู่ราก แล้วนี่…ทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีเหล่านี้สูงศักดิ์เพียงนั้นเชียวหรือ”
หารู้ไม่ ฉินเฟิงได้ส่งศพของทหารองครักษ์ที่เสียชีวิตไปยังศาลาพักม้า เพื่อขนกลับมายังเมืองหลวงนับตั้งแต่การประมือกับจงหลิงคราแรกสิ้นสุดแล้ว
พวกเขาเร่งควบม้ามาได้พันลี้ หากแต่ศพนั้นเน่าเปื่อย ด้วยความจนปัญญา จึงจำต้องเก็บลงโลงก่อน แล้วค่อยจ้างนักพรตในพื้นที่เรียกวิญญาณนำทางกลับมายังเมืองหลวง
แม้ฉินเฟิงจะไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ยึดมั่นใน ‘เอกนิยม’ ไม่สั่นคลอน ทว่าเขาก็ไม่อาจขัดความเคารพผีสางเทวดา และการวิงวอนในวัฏสงสารของคนในยุคสมัยนี้มิได้
นับว่านายน้อยฉินจัดยาได้ถูกโรคแล้ว
ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของฝูงชน โลงศพใหญ่ทั้งสามตรงเข้ามายังค่ายเทียนจี และถูกส่งไปยังโถงตั้งศพ
เมื่อได้รับอนุญาตจากฉินเฟิง บรรดานายน้อยก็พากันเข้ามาในค่ายเทียนจี ล้อมวงอยู่ไม่ไกลจากโถงตั้งศพนัก

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ