บทที่ 271 ไฟสงครามเป่ยซี
ยามค่ำคืน
ณ เมืองเป่ยซี
ในห้องโถงของศาลาว่าการยังคงมีแสงเทียนริบหรี่ ตอนนี้เป็นเวลายามจื่อแล้ว แต่หลินฉวีฉียังคงตรวจสอบและอนุมัติงานของทางการอยู่
แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์การเป็นขุนนางมาก่อน แต่ความพากเพียรกว่าสิบปีเพื่อ ‘สอบเคอจวี่’ ก็มีประโยชน์
อีกทั้งก่อนหน้านี้ฉินเฟิงยังได้กำหนดนโยบายโดยรวมในการปกครองอำเภอและเพิ่มความมั่งคั่งให้กับผู้คนเอาไว้แล้ว เขาเพียงแต่ต้องดำเนินการตามรูปแบบเท่านั้น นั่นช่วยประหยัดแรงไปได้มาก
ข้อสำคัญที่สุดคือหลังบ้านมีฉินเฉิงซื่อและหลี่เซียวหลานเป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งหลินฉวีฉียังได้รับความช่วยเหลือจากฉีเหมิงและองครักษ์กว่ายี่สิบคน ทำให้ไม่ต้องกังวลโดยใช่เหตุ
ปลายยามจื่อ ภายใต้คำร้องขอซ้ำ ๆ ของรองนายอำเภอ หลินฉวีฉีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวางงานลง ยืดเส้นยืดสาย หมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางเรือนหลัง
ขณะที่บัณฑิตหนุ่มเอื้อมมือออกไปยกม่านประตู เสียงกีบม้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกศาลาว่าการ
หลินฉวีฉีหยุดฝีเท้า แล้วมองไปตามเสียง แววตาของเขาค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ พลางเอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้ใดขี่ม้าตะบึงมาตามถนนดึกดื่นเช่นนี้? มือปราบก็ไม่ได้รายงานมา หรือว่ามีรายงานด่วนกัน?”
หลินฉวีฉีตัดสินใจเดินไปทางศาลาว่าการ หลังจากเดินไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นฉีเหมิงขี่ม้ามาหยุดอยู่นอกประตู ทันทีที่พลิกตัวลงจากม้า ฉีเหมิงก็ตะโกนเสียงดัง “นายอำเภอ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ทหารม้าเป่ยตี๋ใช้โอกาสยามวิกาลบุกโจมตี!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เปลือกตาของหลินฉวีฉีก็กระตุกทันที ก่อนหน้านี้เขาต้องรับมือกับตัวอักษรอยู่ทั้งวัน หาได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับข้าศึก เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าเป่ยตี๋ที่เก่งกาจและทรงพลัง หัวใจของบัณฑิตหนุ่มก็ตกลงไปถึงตาตุ่ม
โชคดีที่เขานึกถึงความไว้วางใจของฉินเฟิงที่มีต่อตนเองจึงพอจะสามารถสงบลงได้บ้าง
“ในเมื่อเป็นทหารม้า แล้วไยต้องตื่นตระหนก?”
ตามความเข้าใจของหลินฉวีฉี ทหารม้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกองกำลังขนาดเล็ก มักมีวัตถุประสงค์ในการจู่โจมและปล้นสะดม
และตามบันทึกในหนังสือทหาร
กองกำลังขนาดเล็กที่รวดเร็วว่องไว คือ ทหารม้า
กองกำลังขนาดกลางที่คว้าชัยชนะอย่างไม่คาดคิด คือ ทหารม้าเกราะเบา
ส่วนกองกำลังขนาดใหญ่ที่รุกคืบกดดันขบวนรบ คือ ทหารม้าเกราะหนัก
หากเป็นเพียงทหารม้าเกราะเบากลุ่มเล็ก ๆ ความแข็งแกร่งในการป้องกันของเมืองเป่ยซีย่อมสามารถรับมือได้อย่างสิ้นเชิง
ทว่าบัดนี้ดวงตาของฉีเหมิงเบิกกว้างและเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ พลางเขารีบกล่าวออกมา “แม้จะเป็นเพียงทหารม้าแต่ก็มีจำนวนมาก หนึ่งหมู่มีทหารม้าสิบนาย พวกมันมีกันหลายร้อยหมู่ และกำลังมุ่งหน้ามาตามเส้นเขตแดน ด่านป้อมปราการที่เราจัดตั้งก่อนหน้านี้สิบห้าด่านจากสิบหกด่านพังราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว เหลือเพียงแค่ด่านเดียวเท่านั้นที่เสี่ยงชีวิตหลบหนีกลับมารายงานสถานการณ์ทางทหารได้”
“ตลอดทางชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนถูกฆ่า บ้านเรือนถูกเผา สตรีและปศุสัตว์ถูกปล้นชิงไป นอกจากนี้ยังมีกองทหารม้าเกราะเบาจำนวนสามร้อยนาย มุ่งหน้าตรงมายังที่ตั้งของเมืองเรา”
ใบหน้าของหลินฉวีฉีซีดเผือดทันที เขาตกตะลึงไปนานเกือบหนึ่งถ้วยชา
กระทั่งหายจากความตื่นตระหนก บัณฑิตหนุ่มก็นึกถึงกลยุทธ์ที่ฉินเฟิงทิ้งไว้ก่อนออกเดินทางได้ เขาจึงรีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะเพื่อตรวจดู เป็นไปตามคาด เขาพบกลยุทธ์ที่จะใช้ป้องกันศัตรู
หลินฉวีฉีรีบออกคำสั่งตามคำชี้นำของฉินเฟิงอย่างร้อนรน “กองกำลังขนาดใหญ่ของกองทัพศัตรูกำลังจะมา พวกมันจะต้องเปลี่ยนยุทธวิธีและตั้งเป้าจะบุกมาเมืองเป่ยซีเป็นหลักแน่ ทันทีที่ได้ชาวบ้านเป่ยซีไปอยู่ในกำมือ ไม่เพียงแต่เมืองเป่ยซีจะตกอยู่ในความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่พี่ฉินที่อยู่เมืองหลวงก็จะถูกกล่าวโทษและเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ฉะนั้นเมืองเป่ยซีจะต้องไม่ถูกตีแตก!”
“รีบส่งทหารของศาลาว่าการทั้งหมดออกไปอพยพและช่วยเหลือประชาชนในหมู่บ้าน เคลื่อนย้ายชาวบ้านทั้งหมดไปทางทิศใต้ของที่ตั้งอำเภอ จากนั้นให้ทหารองครักษ์กับทหารศาลาว่าการกลับมาป้องกันเมืองโดยด่วน”
“และสั่งให้ศาลาพักม้ารีบควบม้าไปส่งรายงานที่เมืองหลวง!”
ทันใดฉีเหมิงประสานหมัดคำนับแล้วจากไป

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ