บทที่ 274 เริ่มต้นปิดล้อมเมือง
นายกองลังเล “อำเภอเป่ยซีแข็งแกร่งมาก เราขาดอุปกรณ์ปิดล้อมเมือง หากดันทุรังโจมตี เราจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยสอดแนมที่แทรกซึมเข้าไปในเมืองรายงานว่ามีทหารรักษาการณ์นับพันคนอยู่ภายในนั้น”
เมื่อได้ยินความกังวลของนายกอง เฉินซือกลับไม่คิดเช่นนั้น “ก็แค่พลเรือนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจำนวนหนึ่งพันคนเท่านั้น ไม่มีกระไรต้องกังวล! การป้องกันของอำเภอเป่ยซีไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลเรือนนับพันคน แต่ขึ้นอยู่กับองครักษ์ยี่สิบคนต่างหาก พละกำลังและความสามารถในการพลิกแพลงของทหารองครักษ์ค่ายเทียนจี เราได้สัมผัสมันมาแล้ว กระทั่งจงหลิงผู้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งการบัญชาการทหารจะเป็นผู้นำกองกำลังที่เหนือกว่า เขาก็ยังประสบกับความสูญเสียในการต่อสู้อันน่าสยดสยอง ด้วยน้ำมือทหารองครักษ์ของค่ายเทียนจี”
“ถ้าเราปล่อยให้ทหารองครักษ์ทั้งยี่สิบคนเสริมขวัญกำลังใจของกองทัพและถ่วงเวลาต่อไป พลเรือนก็จะค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับสงครามได้ เมื่อถึงเวลานั้น เราจะไม่ได้เผชิญหน้ากับพลเรือนนับพันคน แต่จะเป็นทหารของศาลาว่าการนับพันคน แม้ว่ากองกำลังหลักในการปิดล้อมเมืองจะยังมาถึงที่นี่ และแม้การยึดครองอำเภอเป่ยซีเสียตอนนี้ก็เกรงว่าจะต้องจ่ายในราคาสูงนัก”
“แต่เราก็ควรใช้ประโยชน์จากความไม่มั่นคงของศัตรู เอาชนะพวกมันให้ได้ในคราวเดียว!”
“ยามบ่ายเริ่มสงครามและสิ้นสุดเมื่อฟ้ามืด ไม่ว่าจะยึดเมืองได้หรือไม่ก็มิเป็นไร อย่างไรก็สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อขวัญกำลังใจของศัตรูได้!”
ความสงสัยในใจของนายกองพลันหายสิ้น เขาประสานหมัดคารวะ จากนั้นจึงถ่ายทอดคำสั่งไปยังหน่วยต่าง ๆ
ช่วงขณะเดียวกัน ด้านฉินเฟิงก็มาถึงหอหงส์ครวญตามกำหนดเวลา
หอสุราหงส์ครวญนับว่าเป็นหนึ่งในหอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เจ้าของหอสุราเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต การค้าขายเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด ยามนี้เป็นเวลาอาหารเย็น ตามหลักแล้วหอสุราควรจะมีลูกค้าไม่ขาดสาย
ทว่าบัดนี้หอสุราใหญ่กลับดูว่างเปล่า มีเพียงหลงจู๊และเสมียนเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะ
เมื่อพวกเขาเห็นฉินเฟิงก็ตอบสนองด้วยรอยยิ้มที่ซับซ้อน คล้ายกับจะเตือนว่าหอสุราในคืนนี้ไม่ค่อยสงบนัก
อย่างไรก็ตามฉินเฟิงไม่สนใจ ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในห้องโถง ตามด้วยชูเฟิงและหนิงหู่
ฉินเฟิงจะไม่ทำเรื่องอย่างการบุกเดี่ยวเข้าไปท่ามกลางดงศัตรูโดยเด็ดขาด…คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไร?
“หลงจู๊ แขกผู้มีเกียรติจากอำเภอฝูอวิ้นอยู่ที่ใด?” ฉินเฟิงถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
หลงจู๊ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ชี้ไปที่บันไดพลางขยิบตาให้ฉินเฟิงไม่หยุด บอกเป็นนัยว่าอย่าไปเลย
ฉินเฟิงเริ่มสนใจมากขึ้น ก่อนจะเดินไป เขานึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันกลับไปที่โต๊ะ แล้วถามอย่างสบาย ๆ ว่า “มีกระดาษกับพู่กันหรือไม่?”
หลงจู๊ไม่กล้าถามมาก รีบหยิบพู่กันกับกระดาษออกมา
นายน้อยฉินวาดรูปวงกลมบนกระดาษลวก ๆ วางพู่กันลง แล้วเดินตรงไปที่บันไดพลางหัวเราะเบา ๆ “หากมีการปะทะกันเกิดขึ้นในหอหงส์ครวญคืนนี้ หลังจบเรื่องเจ้าคำนวณค่าใช้จ่ายดูสักหน่อยก็แล้วกัน ทั้งหมดคิดบัญชีกับข้า ถึงตอนนั้นเจ้าแค่เอากระดาษแผ่นนี้ไปที่ค่ายเทียนจี ตามหาหลิ่วหงเหยียนพี่หญิงรองของข้า แล้วถอนเงินไปได้เลย”
เมื่อได้ยินดังนี้หลงจู๊ก็รู้สึกขอบคุณอย่างล้นพ้น รีบยัดกระดาษไว้ในอ้อมแขน “นายน้อยฉิน ความมีน้ำใจและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของท่าน ข้าน้อยจะไม่มีวันลืม”
ฉินเฟิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าแค่วาดวงกลมวงหนึ่ง เจ้าไม่ถามด้วยซ้ำว่าจะถอนเงินออกมาได้หรือไม่?”
ดวงตาของหลงจู๊ร้อนแรง กล่าวอย่างตื่นเต้นโดยไม่ลังเล “นายน้อยฉินบอกว่าเอาออกมาได้ก็ต้องเอาออกมาได้ ในเมืองหลวงนี้ หากข้าน้อยไม่เชื่อผู้ใด อย่างน้อยก็ต้องเชื่อนายน้อยฉินขอรับ”
ฉลาดนี่!
ฉินเฟิงไม่มัวโอ้เอ้อีก เขาสาวเท้าเดินขึ้นบันไดไปทันที
บันไดไม่ได้ขึ้นไปที่ชั้นสองโดยตรง แต่มีหัวโค้งอยู่ตรงกลาง
หลังจากเดินอ้อมหัวโค้ง ตรงหน้าพลันปรากฏความวุ่นวายให้เห็น
ชายสี่คนยืนอยู่ในทางเดินแคบ ๆ ของบันได พวกเขาทั้งหมดมีอายุช่วงยี่สิบถึงสามสิบปี ทุกคนแต่งตัวแบบ ‘มั่วซั่ว’ เป็นอย่างมาก ออกแนวดูอวดเบ่งแบบกร่าง ๆ
ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าทั้งสี่คนนี้เป็นอันธพาลเกียจคร้านที่มีชื่อเสียงในอำเภอฝูอวิ้นเป็นแน่
หัวโจกที่สวมชุดผ้าป่านสีเขียว ถือวอลนัตสองลูกไว้ในมือซ้าย เขามองดูฉินเฟิงด้วยสายตาชั่วร้ายพลางเหยียดยิ้มออกมา “นายน้อยฉิน พี่ใหญ่เรารอมานานแล้ว ทำไมเจ้าเพิ่งจะมาเล่า? คงไม่ได้เห็นพี่ใหญ่ของเราอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”
ฉินเฟิงขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการกับลิ่วล้อตัวเล็ก ๆ พวกนี้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ