เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 28

บทที่ 28 จดบัญชีไว้ก่อน

อยู่กับฮ่องเต้ดั่งอยู่กับพยัคฆ์ หากประมาทเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แค่รักษาชีวิตของฉินเฟิงไม่ได้ แต่ตระกูลฉินทั้งหมดอาจจะพลอยลำบากไปด้วย

โชคดี… ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ใช่คนหยุมหยิม อีกฝ่ายไม่สนใจพิธีรีตองที่เป็นเพียงเปลือกนอก สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์มีอำนาจควบคุมแคว้นต้าเหลียงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ เพราะมีความมั่นใจจึงสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้

สำหรับการแสร้งทำเป็นโง่เขลาในห้องทรงพระอักษร ไม่ใช่เพราะฉินเฟิงหาญกล้าแต่อย่างใด แต่นั่นคือบุคลิกของเขา สายพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมีอยู่ทั่วเมืองหลวง เกรงว่าคงรู้นิสัยนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้เป็นอย่างดี หากในยามปกติเขาทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ แต่พอมาถึงห้องทรงพระอักษรกลับรู้ความ คงโดนจับได้ว่า ‘เสแสร้ง’ เป็นแน่ บางทีความผิดเพียงครั้งเดียวนี้อาจทำให้ผู้ครองแคว้นไม่พอใจนัก

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะทรงพระสรวลและดูเป็นคนสบาย ๆ ทว่าก็ไม่ใช่คนมีเมตตา เห็นได้จากการที่พระองค์ขว้างฎีกาลงบนพื้นก่อนหน้านี้

ฉินเฟิงแน่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจทำให้เห็น เพื่อเตือนเขาว่าตราบใดที่พระองค์ประสงค์ การปลิดชีพนายน้อยเจ้าสำราญอย่างเขาง่ายดายราวกับการฆ่ามด

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ครั้งนี้ก็ถือว่ารับมือจนผ่านไปได้แล้ว

นายน้อยตระกูลฉินแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าของเขาดีขึ้นหลายส่วน ชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นพลางตะโกน “ต่อให้ไม่ได้เงินจากท่าน แต่ข้าก็หาผลประโยชน์จากสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาได้!”

หลี่จ้านคว้าตัวฉินเฟิง ทำท่าเป็นเชิงให้เงียบเสียงลง หัวหน้าขันทีเตือนเขาด้วยความตื่นตระหนก “อย่าส่งเสียงดัง!”

เมื่อเห็นฉินเฟิงหน้าระรื่น ขันทีชราก็พึมพำในใจ ความบ้าคลั่งของเด็กคนนี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ! การลงนามสัญญากับฝ่าบาทในห้องทรงพระอักษรว่าน่าตกใจแล้ว แต่การรับปากว่าจะสร้างสามกองทหารชั้นยอดในเวลาสามปีน่าตกใจกว่า ค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นนี้ แม้แต่คลังสมบัติของแคว้นยังต้องคำนวณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

หากเป็นคนอื่นคงจะทำหน้าบูดบึ้ง หมดอาลัยตายอยากไปแล้ว ไยฉินเฟิงถึงได้มีความสุขเพียงนี้?

แน่นอนว่า นายน้อยตระกูลฉินย่อมไม่บอกกล่าว ‘ความลับทางการค้า’ กับบุคคลภายนอก

สิ่งที่ชายหนุ่มกังวลมากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เป่ยตี๋ หรือข้อพิพาทระหว่างกรมกลาโหมกับกรมคลัง แต่เป็นน้ำตาลทรายขาว!

ฉินเฟิงมั่นใจว่าตนเองจะทำเงินได้มากมายจากการขายน้ำตาล เพราะการคุ้มครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา เป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่จะนำกำไรมาให้เขามหาศาล อย่างไรเสีย นายน้อยตระกูลฉินก็ไม่ได้รู้จักแค่วิธีทำน้ำตาลเพียงอย่างเดียว ในหัวเขามีวิธีหาเงินอีกมาก! ยุคนี้ไม่มีแม้แต่เกลือที่ดีด้วยซ้ำ อีกทั้งราษฎรทั่วไปส่วนใหญ่ก็ยังกินน้ำส้มสายชู…

รอผูกขาดอุตสาหกรรมเครื่องปรุงของต้าเหลียงให้ได้ก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยตีตลาดอุตสาหกรรมอื่น! นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำเงินได้มากมายทุกวันหรอกหรือ?

อย่างน้อยในระยะสั้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงคงไม่มีทางตระหนักได้ว่าคำง่าย ๆ อย่าง ‘ทรัพย์สินทางปัญญา’ จะมีมูลค่าเท่ากับกองทหารนับพันอาชานับหมื่น!

ฉินเฟิงเดินไปที่ประตูพระราชวัง ชายหนุ่มเชิดหน้า ยืดอกขึ้น ขณะที่ทหารรักษาประตูกำลังจ้องมองเขาพลางขมวดคิ้ว

หลี่จ้านส่ายหัวและยิ้มขื่น “นายน้อยฉิน ข้าอยู่ในวังมาหลายปี แต่ไม่เคยเห็นใครเหมือนเจ้า เจ้าควรระวังเรื่องราชสำนัก แต่เจ้ากลับ…”

ระวังอะไร! ฉินเฟิงไม่สนใจที่จะอธิบาย

สิ่งที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ชอบ แน่นอนว่าต้องระวัง แต่หากอยากพูดให้ตรงพระทัยแล้วต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง เช่นนั้นก็โง่เกินไปหน่อย

เดิมทีการส่งทหารไปเป่ยตี๋เป็นปมในใจฮ่องเต้ การแสดงแสนยานุภาพเป็นเหตุผลผิวเผิน จริง ๆ แล้ว พระองค์ต้องการรักษาเสถียรภาพของกองกำลังภายในมากกว่า มิเช่นนั้น หากเกิดจลาจลจากคนเดือดร้อนเพราะปัญหาชายแดนขึ้นมา สำหรับต้าเหลียงแล้วสถานการณ์นี้อันตรายกว่าการรบกับเป่ยตี๋เสียอีก ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงต้องการเพียงเหตุผลในการตัดสินพระทัยเท่านั้น

การขัดขวางผลประโยชน์จากหลายฝ่ายล้วนเป็นเรื่องหลอก จริง ๆ ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่คำว่า ‘เงิน’ ต่างหาก

เมื่อมีเงิน ประเทศก็จะแข็งแกร่งขึ้น ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ข้อพิพาทในราชสำนักพลอยหมดไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น กำลังทรัพย์ของหอเซียนเมามายแข็งแกร่งมาก ว่ากันว่าในหนึ่งวันมีเงินหมุนเวียนสองถึงสามพันตำลึงเงิน เป็นบ่อเงินบ่อทองที่หาได้ยากในเมืองหลวง

“เจ้าไม่ได้จะทำน้ำตาลทรายขาวหรอกหรือ? นี่ยังไม่ทันจะได้ขายก็ไปหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว หอเซียนเมามายไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะไปอวดเบ่ง เจ้าบอกว่าจะทำให้หอเซียนเมามายล้มละลายภายในไม่กี่วัน อยากให้ข้าขำจนสิ้นลมกระมัง เก่งขนาดนั้น ไยเจ้าไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า!”

นายน้อยตระกูลฉินนึกไม่ยอมอยู่พักหนึ่ง ขึ้นสวรรค์จะไปยากอะไร ต่อให้สร้างเครื่องบินไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะสร้างเครื่องร่อนไม่ได้เสียหน่อย?

แต่หลิ่วหงเหยียนยังคงบิดหูเขาอยู่ ฉินเฟิงจึงไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก ชายหนุ่มทำได้เพียงอธิบายเสียงแผ่วด้วยท่าทางที่สื่อว่ายอมแล้ว “ในเมื่อข้าพูดออกมาแล้ว ย่อมทำได้! ไม่ต้องพูดถึงหอเซียนเมามายหนึ่งแห่ง ต่อให้หอเซียนเมามายสิบแห่ง ครึ่งเดือนข้าก็สามารถทำให้มันปิดตัวลงได้เช่นกัน ข้ากล้าใช้ชื่อตัวเองรับประกันเลย”

“ให้ตายเถอะ! ชื่อเสียงของเจ้าไม่น่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าสุกร” หลิ่วหงเหยียนฉุนไม่น้อย แต่หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน หล่อนพบว่าตราบใดที่น้ำตาลทรายขาวออกขายก็สามารถทำเงินให้ชายหนุ่มได้มากมายทุกวัน หากปะทะกับหอเซียนเมามายจริง ๆ ไม่แน่ว่าฉินเฟิงอาจจะเป็นฝ่ายชนะ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเวลาไม่มีทางที่จะเร็วเกินจริงอย่างเจ้าตัวกล่าว ปิดหอเซียนเมามายภายในสองสามวันหรือ? ฝันไปเถอะ!

หลิ่วหงเหยียนปล่อยมือจากหูน้องชายด้วยสีหน้าเรียบตึง พลางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เจ้าเด็กคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยแท้ ๆ วัน ๆ ยังเอาแต่อวดดีไปทั่ว ไหนเจ้าบอกข้ามาซิ ว่าเจ้ามีแผนอย่างไร?”

ฉินเฟิงรู้สึกขบขันอยู่พักหนึ่ง ที่เขาทำถือเป็นการโอ้อวดหรือ? นี่ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเอง? ถ้านางรู้ว่าน้องชายได้ลงนามสัญญากับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงให้ส่งทหารชั้นยอดสามกองกำลังภายในสามปี พี่หญิงรองผู้นี้จะไม่ตัดหูของเขาเลยหรือ?

ช่างเถอะ คนกล้าหาญเพียงไหน ดินอุดมสมบูรณ์เพียงนั้น*[1] คว้าโอกาสไว้แล้วทำให้ดีเดี๋ยวมันก็ดีเอง

ฉินเฟิงไม่รีบร้อนอธิบาย เขากระโดดไปด้านข้างสองสามก้าวเพื่อให้ตัวเองอยู่ห่างจากแม่เสือ ชายหนุ่มเลิกทำท่าทางน่าเวทนา พลางตบลงบนอกสองสามทีแล้วเอ่ยอย่างมาดมั่น “พี่หญิงรองไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก ท่านเอากำไรจากน้ำตาลทรายขาวไปเยอะแล้ว การค้าครั้งนี้ ข้าจะทำด้วยตัวเอง”

“คอยดูเถอะ เมื่อข้ากลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในต้าเหลียง สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือที่ปิดหูทองคำบริสุทธิ์ ก็ใครใช้ให้ท่านชอบบิดหูข้าเล่า!”

[1] คนกล้าหาญเพียงไหน ดินอุดมสมบูรณ์เพียงนั้น : หากคนเรามีความมุ่งมั่นและความกล้าหาญมากเท่าไหน ก็จะผลิตเมล็ดพืชให้ผืนดินได้มากเท่านั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ