บทที่ 280 ทหารเสียขวัญกำลังใจ
ทหารม้าเป่ยตี๋กว่าหนึ่งพันนายกำลังวนเวียนอยู่รอบนอกประตูเมือง พวกเขายิงธนูขึ้นไปไม่หยุดเพื่อก่อกวนการป้องกันของทหารในเมือง
ทหารม้าอีกสามพันนายทิ้งม้าเปลี่ยนเป็นเดินเท้า โยนตะขอขึ้นกำแพงเมืองไม่หยุดยั้ง พลางตั้งบันไดยาวที่สร้างขึ้นชั่วคราว
เวลานี้ทหารเฝ้าเมืองถูกข่มจนเงยหน้าไม่ขึ้น ทำได้เพียงตวัดดาบตัดโซ่ตะขอ บ้างก็ใช้ไม้ง่ามดันบันไดยาวออกไป
ฉีเหมิงหมอบลง เขาเอ็ดทหารอารักขาที่ยืนเหม่ออยู่ข้างกายเสียงต่ำ “อย่ามัวแต่ยืนอึ้ง รีบดันบันไดออกไป!”
ทหารอารักขาที่กลัวจนสติหลุดเพราะการต่อสู้อันรุนแรงพลันได้สติ เมื่อกวาดสายตาลงไปด้านล่างกำแพง เขาก็เกือบปัสสาวะราด ทหารเป่ยตี๋คลานตามบันไดขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว
ทหารอารักขาสามสี่คนรีบยกง่ามยาวดันขาทั้งสองด้านของบันไดออกไปพร้อมกัน
และเนื่องจากเป็นบันไดถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน มันจึงแตกต่างจากบันไดยาวที่มีขนาดสิบถึงยี่สิบเมตร เมื่อถูกง่ามยาวดัน บันไดทั้งหมดจึงเอนไปด้านหลัง บรรดาทหารเป่ยตี๋ที่ปีนขึ้นมาได้กว่าครึ่งร่วงตก แม้จะมิได้ตายทันทีแต่กระนั้นก็บาดเจ็บหนักจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก
เสียงโหยหวนของทหารเป่ยตี๋ดังระงมอยู่ทั่วพื้นที่
แต่นี่ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของทหารเป่ยตี๋เลย ถึงอย่างไรการจู่โจมป้อมปราการย่อมรุนแรงและไม่ได้ง่ายดายอยู่แล้ว
ภายใต้คำบัญชาการของฉีเหมิง ทหารอารักขาต้านทานการจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่าของทหารเป่ยตี๋อย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าเล่นงานศัตรูจนล่าถอยไปแล้วกี่ครา
ทว่าจากสถานการณ์ที่เดือดพล่านขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงเมื่อบันไดที่ยาวขึ้นที่ปรากฏตัว ง่ามยาวที่ทหารอารักขาเตรียมไว้ก็ค่อย ๆ สูญเสียความสามารถลง
บันไดถูกพาดเป็นแนวทแยงกับกำแพงเมือง พื้นราบ บันได และกำแพงเมืองต่อกันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
ทหารอารักขาดันบันไดออกไปด้วยง่ามยาวได้ราวหนึ่งจั้ง กระนั้นก็มิอาจทำให้บันไดพลิกคว่ำเหมือนอย่างเคยได้ เมื่อไร้แรงดันที่เพียงพอ บันไดก็เอนกลับเข้าหากำแพงเมืองอีกครั้ง
และเมื่อทหารเป่ยตี๋นายแรกบุกไปถึงกำแพงเมืองได้ การฆ่าฟันก็เริ่มขึ้น
เมื่อทหารอารักขาขาดแคลนการฝึกซ้อมและประสบการณ์การต่อสู้จริงต้องเผชิญกับทหารเป่ยตี๋ระดับมือพระกาฬ ทหารเป่ยตี๋เพียงหนึ่งนายก็สามารถสังหารทหารอารักขาเจ็ดแปดนายรอบ ๆ จนเละไม่เป็นท่าได้ กระทั่งทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีบุกมาถึงประหนึ่งหน่วยดับเพลิงพลันก็แทงทหารเป่ยตี๋ตายในง้าวเดียว การฆ่าฟันถึงได้สิ้นสุดลง
หลังทหารเป่ยตี๋ปีนขึ้นมาถึงกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าทหารอารักขานับพันที่รวมตัวกันอยู่บนกำแพงเมืองพลันแตกตื่นลนลาน หลบหลีกกันจ้าละหวั่น พวกเขาผลักกันจนตกกำแพงเมืองไปนับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นว่าเมืองใกล้แตกเต็มที ฉีเหมิงได้แต่กัดฟันเข้าต่อสู้ประชิดตัวกับทหารเป่ยตี๋อย่างดุเดือด
ด้วยการฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังที่ผ่านมา รวมถึงความหยิ่งทะนงโดยกำเนิด ทหารเป่ยตี๋ในรัศมีสองจั้งของฉีเหมิงถูกกำจัดสิ้น
ทว่าความดุดันกล้าหาญของฉีเหมิงและบรรดาทหารองครักษ์ค่ายเทียนจีส่งผลต่อการต่อสู้นี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าในเวลานั้นเอง เสียงตวาดหวานใสก็ดังมาจากในเมือง
ฉินเฉิงซื่อมาถึงสมรภูมิแนวหน้าตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ และด้านหลังนางก็มีชาวบ้านร่างกายบึกบึนนับร้อยนับพันตามมาด้วย
“รักษาเมืองไว้ให้ได้! หากเมืองแตก ทุกคนจักถูกล้างบาง!”
ภายใต้การเคลื่อนไหวของฉินเฉิงซื่อ หลี่เซียวหลาน หลินฉวีฉี รวมถึงชาวบ้านในเมืองต่างก็เข้าใจตรงกันว่าหากรังล่ม ไข่ในรังไฉนเลยจะรอด พวกเขาจึงพากันหยิบอาวุธไปสนับสนุนแนวหน้า
ทว่าอนิจจา ชาวบ้านเหล่านี้สู้ทหารอารักขายังมิได้ เมื่อเจอกับทหารเป่ยตี๋ที่ดุดัน พวกเขาจึงถูกฟันตายทันทีที่ประมือ
แต่หลังจากกำแพงเมืองเต็มไปด้วยกองกำลังสี่ฝ่ายอย่างทหารองครักษ์ค่ายเทียนจี ทหารเป่ยตี๋ ทหารอารักขา และชาวบ้าน นี่กลับส่งผลกระทบกับกำลังสนับสนุนแนวหลังของทหารเป่ยตี๋อย่างรุนแรง
ทันทีที่ทหารเป่ยตี๋หนึ่งนายกระโดดขึ้นกำแพงเมือง พวกเขาจักต้องเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีจากทหารอารักขาและชาวบ้านถึงเจ็ดแปดคน บางทีอาจถึงสิบคนด้วยซ้ำ
สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายเริ่มย่ำแย่
เฉินซือที่อยู่ในระยะปลอดภัยนอกเมืองจ้องมองการต่อสู้ดุเดือดด้วยสายตาเย็นเยียบราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เขากล่าวเสียงเย็น “ทลายกำแพงเมืองได้หรือไม่?!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ