บทที่ 284 พายุฝนกำลังมา
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นงุ่นงานของฉินเฟิง ‘หมาบ้า’ หลี่หลางกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ เขาสวมอาภรณ์เนื้อหยาบสีน้ำเงิน สะพายห่อสัมภาระ ก้าวฉับ ๆ พุ่งขึ้นรถม้า
ชูเฟิงตกใจกับหลี่หลางที่โผล่ออกมากะทันหัน นางรีบก้าวมาขวางอยู่เบื้องหน้าฉินเฟิง
หลี่หลางหน้าแดงขึ้นมาทันที เขารีบเบนสายตาหนีจากชูเฟิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่า “ไม่… ไม่ต้องแตกตื่น”
ฉินเฟิงขมวดคิ้วเป็นปม มองหลี่จางพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ซื่อจื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลี่จางยกมุมปากน้อย ๆ ราวกับกำลังแสยะยิ้ม “พี่ฉินวางใจได้ แม้หลี่หลางจะได้นิสัยหุนหันพลันแล่นจากท่านพ่อมา กระนั้นก็เป็นคนจริงใจ หากพวกเจ้ามิเคยบาดหมางคงไม่ได้รู้จักกัน หนี้แค้นระหว่างเจ้ากับท่านพ่อขอให้จัดการกันเอง พวกเราสองพี่น้องไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก”
แม้หลี่หลางจะรู้แล้วว่าวันนั้นที่เมืองหลวงฉินเฟิงนับว่ามีบุญคุณต่อเขา
ทว่าเขาโตจนป่านนี้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ถูกซ้อมเสียสะบักสะบอม อย่างไรก็รู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง เขาจึงเอ่ยด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์ “เจ้าพาพวกเราพี่น้องไปเที่ยวเล่นที่อำเภอผิงเหยาด้วย หนี้แค้นก่อนหน้านี้จึงถือว่าหายกัน”
ฉินเฟิงโมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา “หายกันรึ?! พูดได้ง่ายยิ่ง! นี่ถ้าฝ่าบาททรงทราบ ตระกูลฉินของเราต้องซวยกันหมดแน่”
หลี่หลางแค่นเสียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “คนขี้ขลาด!”
เหอะ!
ไอ้หมอนี่ วอนแท้ ๆ
ฉินเฟิงกัดฟันแน่น จ้องอีกฝ่าย และกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าอย่าได้ผยอง หากมิใช่ว่าสู้เจ้ามิได้ ข้าเล่นงานเจ้าไปนานแล้ว!”
หลี่หลางเบ้ปาก ไม่ยอมมองหน้าฉินเฟิง “ผู้ที่เอาแต่หลบหลังสตรีกล้ากำแหงต่อหน้าข้าด้วยหรือ! ข้าว่าเรื่องที่เจ้าสังหารจงหลิงคงเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จกระมัง คนเยี่ยงเจ้ามีชีวิตรอดในสมรภูมิได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปแน่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินเฟิงก็หัวเราะ “อย่างน้อยข้าก็เคยออกรบมาแล้ว ส่วนเจ้าเล่า? เจ้ามีเพียงความฮึกเหิมและอุดมการณ์ น่าเสียดายที่ทั้งชีวิตนี้ก็มิอาจไปถึงสนามรบ เป็นได้เพียงนักเลงหัวไม้ในอำเภอฝูอวิ้นเท่านั้น!”
หลี่หลางมีนิสัยยั๊วะง่ายเป็นทุน เมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงเดือดดาลในบัดดล เขาถลกแขนเสื้อหมายจะลุย “เจ้าว่ากระไร ลองพูดใหม่อีกคราดู!”
ฉินเฟิงยกมือขวาขึ้นช้า ๆ ท่ามกลางสายตาฉงนของหลี่จางและหลี่หลาง ก่อนจะค่อย ๆ ชูนิ้วกลางขึ้นมา
แม้หลี่จางจะไม่เข้าใจว่าที่ฉินเฟิงชูนิ้วกลางนั้นหมายความว่าอย่างไร กระนั้นก็ยังแทรกตัวเข้าไประหว่างคนทั้งสอง และพยายามไกล่เกลี่ย “พอเถิด ๆ พวกเจ้าสองคนอย่าโต้เถียงกันอีกเลย พวกเราพี่น้องควรสมัครสมานในการเดินทางคราวนี้ถึงจะถูก”
เมื่อวาจานี้ถูกเอื้อนเอ่ย ฉินเฟิงกับหลี่หลางก็โพล่งออกมาพร้อมกัน “พี่น้องหรือ? ถุย!”
แม้นฉินเฟิงจะอยากไล่สองคนนี้ลงจากรถม้าใจแทบขาด
แต่อนิจจา ให้ตายอย่างไรหลี่จางก็ไม่ยอมไป ฉินเฟิงจนปัญญาแล้ว
ส่วนเขากับหลี่หลางนั้นราวกับไม่ต้องชะตากันมาแต่กำเนิด ต่างฝ่ายต่างเหม็นขี้หน้า คุยกันไม่ถึงสามประโยคเป็นต้องเปิดฉากด่าทอ จึงเลือกเมินกันและกันเสีย
ขบวนรถค่อย ๆ แล่นเข้าประตูใหญ่อำเภอผิงเหยาท่านกลางบรรยากาศคุกรุ่นตลอดทาง…
เวลาเดียวกันนี้เอง ทหารส่งสารจากอำเภอเป่ยซีก็ควบม้าเร็วไปยังเมืองหลวง
ขณะที่ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงสองร้อยลี้ ทหารส่งสารจำต้องเข้าจุดพักม้าเพื่อเปลี่ยนม้าก่อน
ทหารส่งสารเพิ่งดื่มน้ำได้สองอึกก็มีบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ขุนนางก้าวเข้ามา

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ