บทที่ 289 เยี่ยมเยียนหมู่บ้านยามวิกาล
หมิงอ๋องสร้างคุณูปการจากการศึกไว้อย่างยิ่งใหญ่เมื่อเยาว์วัย แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่เพียงไม่ตกรางวัล ซ้ำยังกลับเนรเทศหมิงอ๋องไปยังอำเภอฝูอวิ้นและกักบริเวณ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงระแวงในตัวหมิงอ๋องเป็นหนักหนา
ทว่าหมิงอ๋องฉลาดนัก เขาจึงได้ปั่นป่วนอำเภอฝูอวิ้นเสียจนโกลาหลวุ่นวาย วิธีใส่ร้ายตนเองเยี่ยงนี้คล้ายกับเซียวเหอในราชวงศ์ฮั่นตอนต้นมากนัก ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าเขาเสียความน่าเชื่อถือในบั้นปลายชีวิต ทว่าแท้จริงแล้วเป็นวิธีเอาตัวรอด
ส่วนลูกทั้งสอง แม้ว่าหลี่หลางจะหุนหันพลันแล่น ทว่านิสัยเถรตรงไร้เดียงสา มิได้เป็นภัยคุกคามต่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมากนัก
เทียบกันแล้วกลับเป็นหลี่จางมากกว่า แม้เขาจะมีกลิ่นอายบัณฑิต แต่ดูอย่างไรก็มิใช่คนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
ยิ่งสนิทใกล้ชิดกับหลี่จางก็ยิ่งอันตราย
ฉินเฟิงลอบตัดสินใจกับตนเองว่า หากเหตุการณ์ในอำเภอผิงเหยาคลี่คลายเมื่อใด อย่างไรเขาก็ต้องสลัดหลี่จางให้หลุดให้ได้ ต้องพยายามรักษาระยะห่าง ไฟจะได้ไม่ลามมาถึงตัว
หลังมองจนหลี่จางออกไปแล้ว ฉินเฟิงมิได้ชักช้า เขาพาหลี่หลางกับชูเฟิงออกจากหอสุรา หมุนกายเข้าไปตามตรอกซอย ถือโอกาสยามราตรีเข้าใกล้ประตูเมือง
การป้องกันในอำเภอผิงเหยานับว่าสมบูรณ์แบบ ฉินเฟิงมิใช่โจรปีนป่ายกำแพง คิดจะออกจากเมืองย่อมมิใช่เรื่องง่าย จึงให้หลี่หลางนำเงินไปติดสินบนทหารรักษาประตูเมือง
เป็นไปตามที่ฉินเฟิงคาด หลังทหารรักษาประตูเมืองเห็นตำลึงเงินก็ยอมให้ผ่านอย่างง่ายดาย
เมื่อออกจากประตูเมืองแล้ว หลี่หลางจิ๊ปากด้วยความดูแคลน “อีกาในใต้หล้านี้ดำเหมือนกันหมด ผู้ใดมีนมให้นับถือผู้นั้นเป็นมารดา ขอเพียงมีผลประโยชน์ให้กอบโกย อย่าว่าแต่ออกจากประตูเมืองเลย ต่อให้บุกเข้าไปในลานหลังศาลาว่าการก็คงจะเป็นเรื่องง่ายดาย”
ความหมายของหลี่หลางคือต้องการแดกดันฉินเฟิงที่ระวังเกินจำเป็นและให้ความสำคัญกับอำเภอผิงเหยาเกินไป
มองอย่างไรสถานที่เฮงซวยเยี่ยงนี้ก็เน่าไปถึงกระดูกแล้ว
ฉินเฟิงไม่ได้โกรธกับคำแดกดันของหลี่หลาง หากแต่หัวเราะออกมา “เจ้าจะไปรู้กระไร!”
หลี่หลางได้ยินดังนี้ย่อมไม่ยอม “เจ้ารู้ดีมากกระมัง”
ฉินเฟิงเชิดศีรษะ หน้าตาลำพอง “แน่นอน พี่ใหญ่ของเจ้ามองเรื่องราวในอำเภอผิงเหยาได้ทะลุปรุโปร่งกว่าเจ้ามากนัก อำเภอผิงเหยานี้เป็นบ้านเกิดของมหาเสนาเกาหมิง โจวอวี้ฝูคือบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของเกาหมิง อำเภอผิงเหยานั้นดูเหมือนอยู่ใต้อำนาจแคว้นต้าเหลียง แต่แท้จริงแล้วถูกเกาหมิงกำกับจนกลายเป็นสวนดอกไม้หลังบ้านเขาไปแล้ว”
“ก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุกับนายอำเภอไปสามคนติด ศาลาว่าการนั้นรกร้างมานาน เจ้าคิดว่าลำพังคหบดีท้องถิ่นเหล่านี้จะปกปิดทุกอย่างได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เหอะ ๆ เอาเป็นว่า หากมิมีเกาหมิงคอยหนุนหลัง เพียงกรมขุนนางส่งผู้ตรวจการมาพร้อมทหารอีกหลายร้อยนาย พวกเขาย่อมสืบจนพบทุกอย่างในอำเภอผิงเหยาได้หมดสิ้น”
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ยามนี้ทหารรักษาประตูเมืองคงนำความไปฟ้องโจวอวี้ฝูแล้ว”
เมื่อได้ยินวาจานี้ของฉินเฟิง หลี่หลางก็ขมวดคิ้วอย่างอดมิได้ “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าทุกสิ่งที่เรากระทำล้วนอยู่ใต้การจับตามองของโจวอวี้ฝู ไยต้องเสี่ยงด้วย”
ฉินเฟิงยิ้มกว้างอย่างไม่ยี่หระ “เสี่ยงรึ? เจ้าสองหลี่ ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จักข้าเลยสักนิด ในพจนานุกรมของข้ามิมีคำว่า ‘เสี่ยง’ ว่ากันว่าผู้กล้าคนสุดท้ายตายอยู่กลางทุ่ง แต่ผู้ขลาดต่างหากที่อายุยืนยาว”
แม้นหลี่หลางจะดูถูกฉินเฟิงอย่างยิ่งยวด รู้สึกว่าคนผู้นี้ ‘เจ้าเล่ห์มักง่ายเอาแต่ได้’ อย่างแท้จริง กระนั้นก็ปฏิเสธมิได้ว่าทุกครั้งที่ฉินเฟิงพบเจอปัญหาอันตราย เขาก็สามารถคลี่คลายได้ทุกคราวไป
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสามารถในการพลิกแพลงและการรับมือกับปัญหาของเขา
หลี่หลางหวนนึกถึงเมื่อคราวอยู่ที่เมืองหลวง ตอนนั้นเขาจัดงานเลี้ยงหงเหมิน ล่อฉินเฟิงมาติดกับ สุดท้ายกลับถูกเล่นงานเสียย่อยยับ ซ้ำยังถูกฉินเฟิงช่วยไว้อีกด้วย
หัวใจของหลี่หลางพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ไม่ยอมส่วนไม่ยอม กระนั้นก็พอเข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ที่ว่า หากจะมีผู้ใดช่วยให้ครอบครัวของพวกเขาได้ออกจากอำเภอฝูอวิ้น เกรงว่าจะต้องเป็นคนผู้นี้แน่นอน
ถือเสียว่าเห็นแก่คนในครอบครัว หลี่หลางจำต้องติดตามข้างกายฉินเฟิงด้วยความจริงใจ
เวลานั้นเอง ชูเฟิงที่อยู่ข้างกายนายน้อยฉินพลันพึมพำด้วยความฉงน “เหตุใดรอบ ๆ อำเภอฝูอวิ้นถึงแห้งแล้งเพียงนี้ นายน้อยดูเอาเถิด ต้นไม้ข้างทางเฉาตายหมดแล้ว แม้นอำเภอผิงเหยาจะมิใช่หนึ่งในสามสิบหกอำเภอรอบเมืองหลวง กระนั้นก็อยู่ในละแวกเมืองหลวง ตามหลักแล้วไม่ควรรกร้างถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่าแถวนี้มีภัยแล้งมาก่อน”
ฉินเฟิงกวาดตามองต้นไม้แห้งเหี่ยวข้างทางแล้วถอนหายใจอย่างอดมิได้ “มิใช่เฉาตาย หากแต่ถูกชาวบ้านผู้หิวโหยกินต่างหาก”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ