บทที่ 290 คนโฉดอันดับหนึ่ง
กินอิ่มนอนหลับ?
หญิงชราผู้นี้ผอมจนเห็นกระดูกดูราวกับว่าหากเพียงแค่สายลมโชยพัดนางก็สามารถล้มลงไปได้ เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อใจฉินเฟิง คงกลัวว่าจะเป็นลิ่วล้อของโจวอวี้ฝูมาหยั่งเชิงจึงไม่ต้องการนำภัยสู่ตน
เดิมฉินเฟิงตั้งใจจะใช้ลูกไม้หลอกหญิงชราผู้นี้ให้นางยอมบอกความจริง
แต่เห็นหญิงชราผู้นี้อ่อนแรงเกินไป เกรงว่าจะทำให้นางกลัวจนถึงแก่ความตาย ฉินเฟิงจึงต้องอดทนอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าตรวจตราอำเภอนี้มาแล้ว แม้แต่ราษฎรในอำเภอก็ล้วนผอมแห้งแรงน้อย คิดแล้วชาวบ้านนอกอำเภอย่อมมีความเป็นอยู่ลำเค็ญยิ่งกว่า ข้ากับโจวอวี้ฝูผู้นั้นหาได้มีความเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่อยากสืบหาความจริงในอำเภอผิงเหยาเท่านั้น หากท่านไม่ยอมบอกความจริง แล้วข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร”
สายตาหญิงชรายังคงทอประกายเคลือบแคลง พินิจพวกฉินเฟิงสามคนไม่หยุด ต่อให้อาภรณ์การแต่งกายรวมถึงบุคลิกของทั้งสามจะต่างจากคหบดีท้องถิ่นชั่วช้าอย่างโจวอวี้ฝูมาก กระนั้นหญิงชราก็ยังไม่ยอมให้ความร่วมมือ
หญิงชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ต่อให้พวกท่านเป็นขุนนางจากเมืองหลวงจริงแล้วอย่างไร? อำเภอผิงเหยานี้เป็น… บ้านเกิดของใต้เท้าเกา”
ใต้เท้าเกาที่หญิงชราเอ่ยถึงย่อมหมายถึงเกาหมิง
เห็นได้ชัดว่าบารมีของเกาหมิงอยู่ในระดับกึกก้องสะท้านฟ้าในอำเภอผิงเหยา ชาวบ้านต่างรู้กันทั่ว
ฉินเฟิงนึกฉุน เขาแค่นเสียงเย็น “เกาหมิงอะไรกัน! ข้าไม่ยี่หระสักนิด! ข้าว่าลูกไม้ตาเฒ่านั้นหาได้หลักแหลมตามชื่อไม่ อำเภอผิงเหยาอยู่ใกล้เมืองหลวงเพียงเอื้อม กลับยังกล้าปล่อยให้บ่าวรับใช้สามานย์มาปั่นป่วนที่แห่งนี้เสียจนย่ำแย่อัตคัด บังอาจเกินไปแล้ว! หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้เข้าย่อมต้องลงอาญาสถานหนักแน่นอน”
เดิมหญิงชรายังเคลือบแคลงฉินเฟิงเป็นหนักหนา เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็กลัวจนหน้าซีด นางแทบยกมือปิดปากฉินเฟิงตามสัญชาตญาณ นางพูดด้วยท่าทางตระหนก “อย่าได้พูดจาเหลวไหลเชียว ใต้เท้าท่านนั้นเป็นถึงขุนนาง อย่าว่าแต่อำเภอผิงเหยาเล็ก ๆ นี่เลย ทั่วทั้งแคว้นต้าเหลียงก็มิมีผู้ใดกล้าลองดีกับเขา”
“ใต้เท้า ท่านกล้าพูดจาเยี่ยงนี้ข้าน้อยจึงรู้ว่าท่านเป็นคนดี ทว่าอย่าได้ปล่อยให้ไฟลามมาถึงตัว”
ไม่รอให้หญิงชราแตะตัวฉินเฟิง ชูเฟิงหูตาไวก็ชิงกดมือผอมแห้งของหญิงชราไว้ก่อนด้วยสีหน้าทรนง “ท่านป้าไม่ต้องกลัว ผู้อื่นหวาดกลัวมหาเสนาเกา แต่นายน้อยของข้าหาได้แยแสไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านคือผู้ใด?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงชราก็พินิจมองฉินเฟิงครู่ใหญ่แล้วจึงส่ายหัว กล่าวเสียงฉงน “ข้าน้อยไม่รู้…”
ซูเฟิงคลี่ยิ้มลำพอง “ท่านเคยได้ยินชื่อฉินเฟิงหรือไม่?”
หญิงชราชะงักค้างราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด สายตาที่เดิมตะลึงเหลือคณาถึงกลับมาเป็นปกติ สีหน้าเปลี่ยนไปมหันต์ รู้สึกเต็มตื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ตุ้บ!
ไม่รอให้พวกฉินเฟิงสามคนตั้งสติ หญิงชราคุกเข่าลงกับพื้น ตัวขดเข้าหากัน หมอบกราบร้องเสียงโหยหวน “ฉินเฟิงหรือ คนโฉดอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ฉินเฟิงใช่หรือไม่?!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงชรา หลี่หลางข้างกายก็แค่นเสียงเย็น ก่นด่าในใจ ‘ฉินเฟิงนี่เหลือเกิน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ถึงปานนี้เชียวรึ? แม้แต่หญิงชาวบ้านแรมร้างห่างไกลยังกลัวถึงเพียงนั้นแค่ได้ยินชื่อเจ้า พี่ใหญ่ปรีชาสามารถมาทั้งชีวิต หนนี้นับว่ามองพลาดไปจริง ๆ ผู้กอบกู้อะไรกัน ถุย! ชื่อเสียงคนโฉดอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงชวนให้น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
นายน้อยเจ้าสำราญเช่นนี้ไม่ควรค่าให้หลี่หลางปกป้องสักนิด
ขณะที่หลี่หลางสะบัดแขนหมายจะทิ้งฉินเฟิงไว้ เขาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของหญิงชรา
“ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาเสียที!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ