บทที่ 291 โกลาหลอลหม่าน
เรื่องนี้จี้ใจดำหญิงชรานัก สีหน้านางค่อย ๆ หม่นหมองลงพลางกล่าวตอบ “เพียงแค่อดอยากที่ไหนกัน ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ยินเรื่องเล่าขานน่าพรั่นพรึงมาว่า หมู่บ้านทางตะวันออกเริ่มมีคนแลกลูกกันกินแล้ว”
อะไรนะ?
แลกลูกกันกิน?!
ฉินเฟิงใจกระตุกวูบ เขารู้ว่าอำเภอผิงเหยาแร้นแค้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะแร้นแค้นปานนี้
ภายใต้การเร่งเร้าจากฉินเฟิง หญิงชราเล่าความจริงอย่างช้า ๆ
“อำเภอผิงเหยานี้หนึ่งไม่ขาดแคลนน้ำ สองมิได้มีฝนมากไป ไม่มีทั้งภัยแล้งและภัยน้ำท่วม ทว่าหลายปีมานี้ทิศใต้มีอุทกภัยอุบัติเรื่อยมา ชาวบ้านอดอยากหนีความลำบากมานับไม่ถ้วน ประกอบกับนายอำเภอรับตำแหน่งไม่ได้เสียที ศาลาว่าการจึงถูกทิ้งร้าง มิมีผู้ใดคอยจัดระเบียบ ชาวบ้านผู้อดอยากนับไม่ถ้วนถึงได้ถลาเข้ามาในอำเภอผิงเหยา”
“พวกเขาเป็นเพียงคนโชคร้าย และพวกเราเข้าใจในความจำเป็นของแต่ละฝ่าย ทว่าชาวบ้านผู้อดอยากมาที่นี่ไม่ทันไร สิ่งใดที่กินได้ล้วนไม่รอดหมด ไร่นาพืชพรรณและกุ้งปลาในน้ำล้วนสูญสิ้น เดิมอำเภอผิงเหยาเป็นสถานที่มั่งคั่ง แต่ทุกอย่างก็ป่นปี้ลงในชั่วเวลาเพียงสามปี”
เมื่อได้ยินดังนี้ แม้ฉินเฟิงอยากจะโกรธแต่ก็หาเหตุผลให้โกรธมิได้ ถึงอย่างไรชาวบ้านผู้อดอยากก็ไร้ทางเลือก
ฉินเฟิงถอนหายใจ “เป็นเพราะชาวบ้านผู้อดอยากสร้างความวุ่นวาย ถึงเก็บภาษีเสบียงมิได้หรือ?”
ทันใดหญิงชราก็ดูเดือดดาลขึ้นมา “เก็บมิได้ที่ไหน สามสิบหกอำเภอแห่งเมืองหลวงร่ำรวยปานนั้นหลายปีก่อนยังเก็บหนึ่งในสามสิบส่วน ครั้งพอสงครามตามชายแดนอุบัติไม่หยุด ถึงเพิ่งเปลี่ยนเป็นหนึ่งในสิบห้าส่วน แต่นายน้อยฉิน ท่านรู้อัตราภาษีของอำเภอผิงเหยาหรือไม่? ที่นี่เก็บถึงหนึ่งในห้าส่วน ซ้ำยังเก็บทุกปีมิเคยละเว้น!”
ฉินเฟิงหัวใจแข็งแรงมาตลอด เขามั่นใจว่ารับเรื่องสะเทือนใจได้ดี ทว่าหลังจากได้ยินคำกล่าวของหญิงชราก็ยังโมโหขึ้นมาอย่างยิ่งยวด
ที่ว่าหนึ่งในห้าส่วน ย่อมเป็นการนำหนึ่งในห้าของเสบียงทั้งหมดจ่ายเป็นส่วยธัญพืช หากบวกกับภาษีอื่นเข้าไป อย่าว่าแต่ของกินเลย มีเมล็ดพันธุ์เหลือก็นับว่าสุดยอดแล้ว!
ทั้ง ๆ กระทั่งในยามแคว้นต้าเหลียงลำบากที่สุดก็ยังเก็บภาษีเพียงหนึ่งในสิบห้าส่วนเท่านั้น
ทว่าอัตราภาษีของอำเภอผิงเหยาเก็นหนึ่งในห้าส่วน นับสูงกว่าที่อื่นถึงสามเท่า
เรื่องที่น่าโมโหที่สุดคือชาวบ้านผู้อดอยากจากทางใต้ถลาเข้ามาทำลายไร่นา เดิมชาวบ้านก็มีรายได้ไม่เท่ารายจ่ายอยู่แล้ว แต่นี่ยังเก็บภาษีเสบียงทุกปี ซ้ำร้ายภาษีเสบียงที่ส่งทางการกลับขาดหายไปจำนวนมาก เช่นนี้มิเท่ากับภาษีที่รีดนาทาเร้นมาเข้าคลังโจวอวี้ฝูหมดเลยหรือ
ไม่สิ! เข้าคลังเกาหมิง!
เก็บภาษีอย่างโหดร้ายกอปรกับถูกชาวบ้านผู้อดอยากบุกเข้ามา เพียงแค่ไม่กี่ปีก็เป็นผลให้อำเภออันรุ่งเรืองกลายเป็นอำเภออับจนซึ่งมีศพของผู้อดอยากเกลื่อนกลาดไปทั่ว
หากมิได้เห็นด้วยตา ฉินเฟิงก็คงไม่มีทางเชื่อแน่นอน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในละแวกเมืองหลวง ใต้ฝ่าพระบาทราชันแท้ ๆ!
ฉินเฟิงสูดหายใจ ฝืนข่มความเดือดดาล เอื้อมมือลูบไหล่หญิงชราเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหวังดี “ข้าได้รับรู้ความทุกข์ทนของอำเภอผิงเหยาแล้ว แต่ยังมีคำถามสุดท้ายอีกข้อ เหตุใดอำเภอผิงเหยาถึงมีสตรีมากกว่าบุรุษ?”
ไม่ว่าจะเป็นตัวอำเภอหรือชนบท ผู้ที่ฉินเฟิงพบเจอเป็นสตรีไปแล้วเจ็ดส่วน บุรุษที่เหลือล้วนแต่แก่เฒ่าพิการอ่อนแรง
หากเป็นที่ชายแดนยังไม่นับว่าแปลกเท่าไร ถึงอย่างไรศัตรูรุกรานโดยส่วนมากก็จักฆ่าแต่บุรุษ ไว้ชีวิตสตรี
มิใช่ว่าศัตรูมีเมตตา เพียงแต่เห็นสตรีเป็นเดรัจฉาน วันหน้าหลังยึดแคว้นสำเร็จสตรีเหล่านี้ล้วนใช้ช่วยสืบทอดสายเลือดของตนได้
ในกลียุคเยี่ยงนี้ บุรุษหรือสตรีล้วนทุกข์ระทมด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่บุรุษเสียไปคือชีวิต แต่สิ่งที่สตรีเสียไปคือศักดิ์ศรีและสิทธิ
ทว่าอำเภอผิงเหยาอยู่ในภาคกลางของแคว้นต้าเหลียง เหตุใดถึงเกิดสถานการณ์สตรีมากกว่าบุรุษได้
เมื่อถามถึงเรื่องนี้ หญิงชราก็มีท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าทอเสียงดัง “โจวอวี้ฝูอ้างว่าที่อำเภอผิงเหยาแร้นแค้นเช่นนี้เป็นเพราะระบบชลประทานไม่สมบูรณ์ เขาจึงให้บุรุษร่างกำยำในอำเภอออกเดินทางไปสร้างระบบชลประทาน ได้ยินจากเหล่าบุรุษที่หนีกลับมาว่า ใช่การสร้างระบบชลประทานเสียที่ไหน เป็นการไปปลูกอ้อยชัด ๆ! ได้ยินว่าที่เมืองหลวงค้าขายน้ำตาลได้กำไรงาม โจวอวี้ฝูจึงหมายตาการขายน้ำตาล…”
เรื่องนี้ทำเอาฉิงเฟินยั๊วะขึ้นมาแล้วจริง ๆ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ