บทที่ 299 ชีวิตและความตาย
นอกอำเภอผิงเหยา
บรเวณประตูเมืองที่แต่เดิมว่างเปล่าเริ่มมีชาวบ้านปรากฏตัวขึ้นประปราย
พวกเขามองดูศีรษะทั้งสามที่แขวนอยู่บนประตูเมือง สายตาของชาวบ้านเปลี่ยนจากความสับสนเป็นความตกใจ และในที่สุดก็กลายเป็นความปีติยินดี
กระทั่งไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้น “โจวอวี้ฝูถูกตัดหัวแล้ว!”
เสียงนั่นเป็นเหมือนสลัก เมื่อถูกตะโดนออกมาก็ทำให้เกิดระเบิดเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องหูในทันที
บรรดาชาวบ้านต่างพากันกระจายข่าว ภายในเวลาวันเดียว เรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วอำเภอผิงเหยา
ชาวบ้านนับไม่ถ้วนต่างมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อดูศีรษะที่ไร้ชีวิตของโจวอวี้ฝู
บางคนร้องไห้อย่างตื่นเต้น ในขณะที่บางคนก่นด่าสาปแช่ง
“ในที่สุดพวกสารเลวนี่ก็ตายแล้ว!”
“ทำชั่วได้ชั่ว ในที่สุดสวรรค์ก็มีตา!”
“ขุนนางที่ส่งมาจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงอำเภอผิงเหยาเมื่อวาน และวันนี้โจวอวี้ฝูก็ถูกแขวนคอบนประตูเมือง นี่ไม่จัดการได้รวดเร็วเกินไปหน่อยกระมัง?”
“ไม่ได้ยินรึ? คนที่มาคือฉินเฟิง!”
“ฉินเฟิงไหน?”
“จะฉินเฟิงไหนได้อีกเล่า! แน่นอนว่าเป็นบุตรชายของฉินเทียนหู่เสนาบดีกรมกลาโหม ฉินเฟิง ผู้มีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ในแวดวงลูกหลานแห่งเมืองหลวงน่ะซี”
ทันทีที่รู้ว่าขุนนางจากเมืองหลวงคือฉินเฟิง ฉากนั้นก็ยิ่งเดือดพล่านขึ้นมา
ชาวบ้านกอดกันร้องไห้ เสียงโห่ร้องและเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วอำเภอผิงเหยา
“มิน่าเล่า! ข้าก็ว่าขุนนางท่านใดหนอทำงานได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นนายน้อยฉิน เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว!”
“ชื่อเสียงเหม็นโฉ่รึ?! หากในใต้หล้านี้มีลูกหลานที่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่เช่นนี้อีกหลาย ๆ คน พวกเราชาวต้าเหลียงก็โชคดียิ่งแล้ว”
ในระหว่างที่ราษฎรกำลังโห่ร้อง
ชายหนุ่มคนหนึ่งนุ่งผ้าป่านสีเขียว แต่งกายอย่างคนรับใช้ เขาเอามือไพล่หลัง เดินขาออกมาจากประตูเมือง
ชายหนุ่มผู้เก๊กท่าโอ้อวดคนนี้ นอกจากฉินเสี่ยวฝูแล้วจะเป็นใครได้อีก
เมื่อเห็นความวุ่นวายในที่เกิดเหตุ ฉินเสี่ยวฝูก็ยื่นมือที่ไพล่หลังออกไป เขาถืออ่างทองแดงในมือซ้าย และถือท่อนไม้ในมือขวา
ปัง ปัง ปัง!
เสียงดังราวกับฆ้องกังวานขึ้น
ในที่สุดทั่วบริเวณที่มีเสียงจอแจก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ภายใต้การจ้องมองที่สับสนมึนงงของฝูงชน ฉินเสี่ยวฝูยืดอกขึ้นและกล่าวอย่างลำพอง “ข้าน้อยผู้ไร้ความสามารถเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีของนายน้อยฉิน นามฉินเสี่ยวฝู นายน้อยของข้ามายังอำเภอผิงเหยา นับว่าเป็นโชคดีของพวกเจ้า ตอนนี้ข้าจะมอบหมายพวกเจ้าสามเรื่องและพวกเจ้าจักต้องทำมันให้ดี!”
“อย่างแรก มีเงินกล่องใหญ่สามกล่องอยู่หลังหอสุราที่นายน้อยของข้าพักอยู่ พวกเจ้านำเงินเหล่านั้นขึ้นรถเข็น จัดซื้ออาหาร และขนส่งทั้งหมดไปยังค่ายเทียนจีในเมืองหลวง”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เอ่ยออกมา ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง
หมายความว่าอย่างไรกัน?
หรือว่าใต้หล้ามืดมนราวกับอีกา ฉินเฟิงก็กำลังจะฉ้อโกงเช่นกันหรือ?
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสน ฉินเสี่ยวฝูพลันกล่าวเสริม “ประการที่สอง ไปที่ถนนทางการแล้วรอ ในไม่ช้าจะมีขบวนขนส่งเสบียงผ่านมา ขบวนเหล่านี้ได้รับการว่าจ้างจากค่ายเทียนจีให้ขนส่งเมล็ดพืชและหญ้าไปยังอำเภอเป่ยซี พวกเจ้าเพียงแค่อธิบายให้ผู้จัดการขบวนฟัง บอกว่านายน้อยฉินสั่งให้เจ้ามา และนำขบวนเสบียงเข้าสู่อำเภอผิงเหยา”
“ประการที่สาม หิ้วตัวขุนนางที่แกล้งตายทั้งหมดในเมืองออกมา ให้พวกเขาเป็นคนแจกจ่ายธัญพืช ใครก็ตามที่ลงทะเบียนในอำเภอผิงเหยาจะได้รับธัญพืชจำนวนสามกระบวย!”
ชาวบ้านพลันตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง
ฉินเสี่ยวฝูคาดการณ์ปฏิกิริยาเช่นนี้ไว้แล้วจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เงินสามหมื่นตำลึงนั้นเป็นเงินสำหรับซื้อเสบียงซึ่งได้รับทุนจากโจวอวี้ฝู นายน้อยของข้าย่อมไม่ทำกิจการที่ขาดทุน! เป็นอันใด? พวกเจ้ายังไม่หิวรึ?”
ทุกคนราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ