บทที่ 300 สถานการณ์ทางกองทัพที่เป่ยซี
สวีโม่เคยได้ยินว่าหนิงหู่นำทหารองครักษ์ร้อยคนไปเข่นฆ่าทหารม้าชั้นยอดของเป่ยตี๋ และสังหารจงหลิงขุนพลหยาเจี้ยงในตำนานของศัตรูด้วยง้าวเพียงเล่มเดียว
และยังเห็นด้วยตาตัวเองว่าหนิงหู่ได้รับพระราชทานเป็นผู้บังคับกองพัน สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล วาสนาบู๊พุ่งทะยาน
สวีโม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้นำกองทัพคนใหม่ บุกเข้าสู่สนามรบ สร้างคุณูปการทางทหารอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษของตนเอง
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า กับอีแค่ทหารเป่ยตี๋ตัวเล็ก ๆ พวกเขาย่อมเป็นเพียงวิญญาณที่ตายใต้คมดาบ
ด้วยความตื่นเต้นเต็มเปี่ยม สวีโม่นำกองทัพใหม่เข้าสู่สนามรบ แต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือความจริงอันโหดร้ายที่สุด ความฝันอันสวยงามทั้งหมดพังทลายเป็นเสี่ยง ๆ ในชั่วพริบตา
ก่อนถึงที่ตั้งของอำเภอ พวกเขาถูกซุ่มโจมตี
และแม้จะเป็นฝ่ายบุกโจมตีอย่างเด็ดขาดและสังหารทหารม้าของศัตรูได้อย่างน่าประหลาดใจ แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ในการต่อสู้ที่ชวนกระวนกระวาย ขณะเดียวกันนั้นฉีเหมิงก็ถูกศัตรูปิดล้อม สู้จนตัวตายอยู่บนกำแพงเมือง เขาเห็นฉากดังกล่าวด้วยตาของตนเอง และบัดนี้ครึ่งหนึ่งของเมืองถูกกลืนหายไปในเปลวเพลิงแล้ว
กองทหารใหม่หนึ่งกองพัน กองทหารชั้นยอดหนึ่งพันห้าร้อยนาย
การต่อสู้ครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญช่างน่าสังเวชเหลือแสน เขาเหลือทหารเพียงแปดร้อยนายจากหนึ่งพันห้าร้อยนาย คิดเป็นความเสียหายมากกว่าครึ่ง
แล้วภายในเมืองเล่า?
ฉีเหมิงเสียชีวิตในสนามรบ
องครักษ์ยี่สิบนายจากค่ายเทียนจีเสียชีวิตสิ้น
มีทหารจากศาลาว่าการเหลือไม่ถึงสองร้อยนายจากหนึ่งพัน
พลเรือนได้รับบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
กองทัพปิดล้อมเป่ยตี๋ถูกขับไล่และเมืองได้รับการปกป้อง แต่ดังที่เจ้าเมืองกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การปกป้องเมืองที่อันตรายแห่งนี้จะมีความหมายอันใด? แม่ทัพรถม้าศึกเพิกเฉย แม่ทัพทหารม้าเฝ้าดูเปลวไฟจากอีกฝั่ง กองทหารชายแดนเองก็ไม่ถามไถ่ แม้แต่รายงานของทหารที่ส่งไปเมืองหลวงก็เหมือนกับก้อนหินที่จมลงสู่ทะเล อย่าว่าแต่การสร้างกระแสคลื่นใด ๆ เลย
แทบทุกคนล้วนละทิ้งอำเภอเป่ยซีแล้ว
มีเพียงฉินเฟิงและชาวเป่ยซีเท่านั้นที่ไม่ยอมแพ้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก!
หึ่ง…
เสียงแตรดังมาจากทางค่ายเป่ยตี๋ ศัตรูเองก็กำลังรำลึกถึงนักรบที่เสียชีวิตลงเช่นกัน
ขณะนี้ในที่สุดสวีโม่ถึงก็ตระหนักได้ว่า ศัตรูไม่ใช่หมึกบนหนังสือเกียรติยศ หรือก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
แต่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง อันตราย และสามารถทำลายล้างต้าเหลียงได้!
ในค่ายเป่ยตี๋ ไหล่ซ้ายของเฉินซือถูกพันด้วยผ้าพันแผล บาดแผลที่ถูกทหารองครักษ์ของค่ายเทียนจียิงยังคงเจ็บปวดยิ่ง
นอกเหนือจากการไว้ทุกข์ให้กับทหารที่เสียชีวิตแล้ว ทหารห้าสิบนายยังถูกควบคุมให้คุกเข่าลงบนพื้น และแม่ทัพสองนายก็ถูกตัดศีรษะตามไปติด ๆ
“สังหารหมู่ชาวเมือง… เราเป่ยตี๋ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“ดูไว้ให้ดี จำใส่กะโหลกไว้”
“ผู้ใดก็ตามที่กล้าตัดสินตามอำเภอใจ สังหารหมู่ชาวเมืองอย่างป่าเถื่อน ตั้งแต่ทหารไปจนถึงรองแม่ทัพ จะต้องถูกตัดหัว!”
สีหน้าของเฉินซือมืดมนอย่างยิ่ง หากทหารไม่สังหารหมู่ชาวเมืองโดยพลการ และบังคับให้กองทัพรักษาการณ์ต่อสู้อย่างจนตรอก อำเภอเป่ยซีคงถูกตีแตกไปนานแล้ว!
อย่างไรก็ตามไม้ได้กลายเป็นเรือ*[1] ไปแล้ว และเฉินซือก็ไม่ต้องการที่จะคิดให้ยุ่งยากใจอีกต่อไป
ท้ายที่สุดสถานการณ์ในสนามรบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา เป็นเรื่องยากสำหรับเฉินซือที่จะเข้าใจสถานการณ์โดยรวม การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้ทั้งสิ้น
เฉินซือหันไปมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ด้านหลัง
มันถูกถอดออกมาจากองครักษ์ค่ายเทียนจีและใช้ท่อนไม้ค้ำยันไว้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ