บทที่ 301 เดือดดาลกราดเกรี้ยว
อะไรนะ!
ฉินเฟิงเพียงรู้สึกว่าในหัวของเขามีเสียงดังอื้ออึง
เมื่อครั้งเขารีบไปยังอำเภอเป่ยซีเป็นระยะทางหลายพันลี้เพื่อช่วยฮูหยินฉินผู้เป็นมารดา คราฉีเหมิงมีส่วนช่วยอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าร่วมเป็นรวมตายไปด้วยกัน
ชายที่มีชีวิต มีเลือดเนื้อเช่นนี้… ตายในสนามรบหรือ?!
สำหรับฉินเฟิงข่าวนี้ไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าฟาดยามท้องฟ้าแจ่มใส
เขาอ้าปากค้าง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าฉินเฟิงจะกลับมามีสติอีกครั้ง เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาเป็นอย่างมาก “อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอำเภอเป่ยซีให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”
แม้ว่าผู้ส่งสารจะไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องเมือง แต่พวกเขาก็เกิดและเติบโตในอำเภอเป่ยซี เนื่องจากฉินเฟิงทำให้อำเภอเป่ยซีที่ครั้งหนึ่งเคยเสื่อมโทรมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ผู้ส่งสารย่อมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับสถานการณ์ที่น่าเศร้าครั้งนี้
เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารที่ลุกโชนในดวงตาฉินเฟิง แทนที่จะหวาดกลัว เขากลับรู้สึกตื่นเต้นหาใดเปรียบ
เพราะเขารู้ดีว่านายน้อยฉินจะไม่ยอมแพ้และจะมอบความยุติธรรมให้กับทหารรวมถึงชาวบ้านที่เสียชีวิตในสงครามเป่ยซีอย่างแน่นอน
ตามคำบอกเล่าของผู้ส่งสาร ฉินเฟิงจึงรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของศึกครั้งนี้ เขากำหมัดแน่นขึ้น จากนั้นก็ค่อย ๆ คลายออกและกำแน่นอีกครั้ง
ฉินเฟิงเพิ่งเคยรู้สึกกังวลและโกรธเกรี้ยวเพียงนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต!
“หากการส่งข่าวไม่ล่าช้า อำเภอเป่ยซีย่อมไม่ถูกทำลายล้าง ฉีเหมิงก็คงไม่ตายในสนามรบ!”
ใบหน้าของฉินเฟิงเขียวคล้ำ เขาแทบอยากจะติดปีกบินไปที่อำเภอเป่ยซีให้ได้เสียตอนนี้
ทว่าเขายังยุ่งอยู่กับหน้าที่ราชการจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความอัดอั้นตันใจสุดแสนจะเลวร้ายนี้เอาไว้
ฉินเฟิงจ้องไปที่ผู้ส่งสารตรงหน้าแล้วถาม “เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
ผู้ส่งสารรู้ดีว่าฉินเฟิงจะไม่ทำให้เขาลำบาก แต่เมื่อรู้สึกถึงความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ในดวงตาอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่น “ข้าน้อยมีนามว่าจ้าวเฉิงขอรับ”
ฉินเฟิงพยักหน้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปที่อำเภอเป่ยซี ข้าจะส่งทหารคุ้มกันเจ้าไปที่ค่ายเทียนจี เจ้าไปพบหลิ่วหงเหยียนพี่หญิงรองของข้า จากนี้ไปเจ้าจะเป็นหัวหน้าโรงพักม้าของอำเภอเป่ยซี มีอำนาจในการรับผิดชอบอย่างเต็มที่ หลังจากกลับไปถึงอำเภอเป่ยซีแล้ว จงฝึกม้าเร็วพันตัว ขยายหน่วยส่งสารเป็นห้าร้อยคน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเบิกได้ที่พี่หญิงรอง!”
“และในอนาคต หากมีความล่าช้าในการส่งข่าวระหว่างอำเภอเป่ยซีและเมืองหลวง เจ้าจะต้องตอบคำถามข้าให้ได้!”
ดวงตาของจ้าวเฉิงลุกเป็นไฟ เขารีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยจะไม่ทำให้นายน้อยผิดหวังขอรับ!”
หลังจากส่งจ้าวเฉิงออกไปแล้ว ฉินเฟิงไม่ได้รีบไปที่ศาลต้าหลี่ แต่เรียกฉินเสี่ยวฝูมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเสี่ยวฝูเห็นนายน้อยมีสีหน้าจริงจังเป็นเพียงนี้ เขาไม่กล้าหัวเราะแม้แต่น้อย และก้มหน้าลงอย่างสุภาพ
เดิมทีฉินเฟิงต้องการวางรากฐานและค่อย ๆ สร้างอำเภอเป่ยซีใหม่
แต่ข่าวร้ายในวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีใครบางคนกระตือรือร้นที่จะชื่นชมสถานการณ์อันน่าสลดใจจากการทำลายล้างอำเภอเป่ยซี
ช่วงเวลาเช่นนี้ ต้องใช้มาตรการพิเศษ!
ฉินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ฉินเสี่ยวฝู เจ้าไปแจ้งหนิงหู่ บอกให้เขานำทหารร้อยนายเตรียมพาทีมวิศวกรไปยังเป่ยซี!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทีมวิศวกร’ ฉินเสี่ยวฝูก็ดูสับสน “นายน้อย ทีมวิศวกรคือสิ่งใดขอรับ”
ฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะอธิบาย จึงเอ่ยตรงประเด็น “หลู่หมิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมวิศวกร ให้เขาระดมช่างฝีมือห้าร้อยคนจากค่ายเทียนจี ครอบคลุมงานทุกประเภท เดินทางด้วยชุดเกราะเบา และเขียนรายการเครื่องมือและวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นทั้งหมด เมื่อถึงศาลาว่าการเมืองก็จัดการซื้อทันที”
“ข้าได้มอบแผนแบบของอำเภอเป่ยซีให้กับหลินฉวีฉีไว้แล้ว เร่งให้หลู่หมิงเริ่มก่อสร้างตามแบบ”
“นอกจากนี้… ระหว่างทางไปอำเภอเป่ยซี ให้หนิงหู่รับสมัครชาวบ้านไปตลอดทาง ใครก็ตามที่ยินดีเข้าร่วมกองทัพและไปที่อำเภอเป่ยซีเพื่อเสริมกำลังจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี ส่วนจำนวนคนไม่จำเป็นต้องจำกัด มีเท่าไหร่ก็รับเท่านั้น”
ฉินเสี่ยวฝูไม่กล้าลังเล วิ่งปรี่ไปที่ค่ายเทียนจีตามคำสั่งของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากฉินเฟิงอธิบายเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้ขึ้นรถ แต่เดินเท้าไปที่ศาลต้าหลี่ สีหน้าของเขามืดมนไม่เปลี่ยน ราวกับว่าพร้อมออกคำสั่งทุกเมื่อ
เมื่อมาถึงหน้าประตูศาลต้าหลี่ ข้างกายก็เหลือองครักษ์อยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ