บทที่ 332 ใช้ขนไก่เป็นลูกศร
จี้อ๋องยกมือขึ้น ตบเข้าที่หลังคอของฉินเฟิง นั่นทำให้ฉินเฟิงตกใจจนตัวสั่น
ดวงตาของจี้อ๋องฉายแววไม่พอใจ “เจ้าหมายถึงอะไร? นี่เป็นมารยาทของเจ้าเมื่อพูดคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ? นี่คือสถานที่สำคัญอย่างพระราชวังต้องห้าม อย่านำกิริยาท่าทางในตลาดเหล่านั้นเข้ามาใช้”
ขณะพูด จี้อ๋องก็หยิบตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงออกมาจากแขนเสื้อและยื่นให้ฉินเฟิงโดยตรง แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รับไป”
ฉินเฟิงก้มศีรษะลง มองดูตั๋วเงิน จากนั้นก็มองไปที่ขุนนางบุ๋นและบู๊ที่อยู่รอบ ๆ ก่อนจะกลับมาจ้องมองตั๋วเงิน ทว่าไม่กล้ารับ “ท่านอ๋อง นี่คือพระราชวังต้องห้าม ท่านต้องการติดสินบนหรือขอรับ? ท่านเป็นอ๋อง ย่อมไม่หวั่นเกรง แต่หลานชายต้องคำนึงถึงผลกระทบนะขอรับ เอาเช่นนี้หากท่านมีเรื่องอันใด พวกเราค่อยกลับไปพูดคุยกันให้ละเอียด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี้อ๋องก็ตบตั๋วเงินลงบนหน้าอกของฉินเฟิง แรงมหาศาลในมือเกือบจะทำให้ฉินเฟิงช้ำในแล้ว
จี้อ๋องจ้องมองฉินเฟิงและกล่าวอย่างไม่พอใจ “พูดอะไรของเจ้า! เจ้าเด็กตัวเหม็น ปากพล่อยจริง ๆ ถามข้าว่าข้าต้องการทำกระไรรึ นี่มันไม่ได้เป็นเพียงประโยคเดียวเท่านั้นนะ… ข้าจำเป็นต้องติดสินบนเจ้าหรือ?”
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อนเก่าสามัญชนของข้าหลายคนเดินทางมาเยี่ยมที่เมืองหลวง พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญทางงานประพันธ์ท้องถิ่น กำลังจัดเตรียมงานผูกมิตรผ่านงานประพันธ์ เจ้าอย่ามารบกวนที่จวนอ๋องของข้าจะดีกว่า”
คราวนี้ฉินเฟิงจึงเข้าใจในที่สุด
ที่แท้อ๋องผู้เฒ่ากังวลว่าฉินเฟิงจะใช้ขนไก่เป็นลูกศร*[1] ไปที่จวนอ๋องเพื่อสร้างปัญหา และทำให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าต้องอับอายจึงให้เงินหนึ่งพันตำลึงเงินไล่ฉินเฟิงไปล่วงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าฉินเฟิงได้ตรวจสอบจวนอ๋องแล้ว มีข้ออ้างในรายงานได้
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา การปัดกวาดขุนนางในเมืองหลวงเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ด้วยเงินหนึ่งพันตำลึงนี้ พิธีการทั้งหมดย่อมถูกละเว้น
สมกับเป็นอ๋องเฒ่า เขาเพียงรู้สึกปวดใจต่อคนรุ่นหลังจึงให้ฉินเฟิงวิ่งทำธุระให้น้อยลง
ฉินเฟิงรับตั๋วเงินมาอย่างมีความสุขด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาหยิบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงออกจากอก แล้วซ้อนกับตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง จากนั้นก็ใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อของอ๋องผู้เฒ่าอีกครั้ง
“ดูท่านพูดสิ หลานชายเป็นคนตาไม่มีแววขนาดนั้นเชียวหรือ? เงินหนึ่งพันตำลึงนี้คืนกลับให้ท่านครบถ้วนสมบูรณ์ ในเมื่อเป็นงานผูกมิตรผ่านการประพันธ์ หากจวนอ๋องขาดเหลืออันใด เพียงส่งคนไปหอวิจิตรศิลป์เพื่อรับมันและชำระในบัญชีของหลานชายได้เลยขอรับ”
จี้อ๋องลูบแขนเสื้อและตบไหล่ฉินเฟิง “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเก็บเงินหนึ่งพันตำลึงนี้คืนก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงผงกศีรษะและโค้งคำนับเป็นพัลวัน พลางทำท่าทางเชื้อเชิญ “เดินช้า ๆ นะขอรับ”
หลังจากมองส่งจี้อ๋องจากไป ฉินเฟิงก็แอบพึมพำในใจ …อ๋องเฒ่าผู้นี้เอาหน้าเก่งจริง ๆ เช่นนี้มิใช่บอกเหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊อย่างชัดเจนหรือว่า ไม่ว่าเขาฉินเฟิงจะอวดดีแค่ไหนก็ยังต้องว่านอนสอนง่ายและฉลาดรู้ความต่อหน้าอ๋องเฒ่า
สถานะของอ๋องผู้เฒ่าในหัวใจของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เฮ้อ!
เชื้อพระวงศ์แซ่หลี่ในเมืองหลวงล้วนเป็นผู้ที่รับมือยาก
ขุนนางบุ๋นบู๊โดยรอบเก็บภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไว้ในดวงตา
บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากันและรีบวิ่งเข้ามาล้อมรอบฉินเฟิงไว้ตรงกลาง
อู๋เหมี่ยนเสนาบดีกรมขุนนางกดไหล่ของฉินเฟิงและหยิบตั๋วเงินออกมาจากอกชุดหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าแตกต่างกัน ประเมินด้วยสายตามีประมาณสักหมื่นตำลึงเงินได้
ขุนนางแห่งเมืองหลวงพกตั๋วเงินติดตัวไปด้วย ไม่ใช่เพื่อใช้จ่ายเงิน แต่เพื่อปกป้องชีวิตโดยแท้
หากวันหนึ่งพูดหรือทำอันใดผิดไปแล้วถูกฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงคิดบัญชีย้อนหลัง จับโยนเข้าไปในศาลต้าหลี่ ตั๋วเงินบนตัวก็จะมีประโยชน์ แม้ว่าจะหนีโทษทัณฑ์ไม่พ้น แต่ยังสามารถให้ผู้คุมหรือเจ้าหน้าที่ศาลดูแลได้ วันเวลาที่ถูกกังขังอยู่ในคุกจึงจะผ่านไปได้ดีกว่าเดิมมาก
กล่าวโดยสรุปคือไม่ว่าจะประสบปัญหาใด ตั๋วเงินที่ติดตัวนี้ล้วนสามารถใช้ได้เสมอ
อู๋เหมี่ยนเรียนรู้จากผู้อื่น เขาส่งตั๋วเงินไปเบื้องหน้าฉินเฟิงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ฉินสือฮู่ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบจวนของข้าหรอก เจ้าก็รู้ว่าอู๋ยงบุตรชายสุนัขของข้าออกจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ข้างนอก แขนเสื้อทั้งสองข้างของข้าใสสะอาด ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบจริง ๆ ด้วยเหตุนี้เจ้าก็ควรเดินทางให้น้อยลงหน่อย”
ฉินเฟิงมองไปยังตั๋วเงินในมือของอู๋เหมี่ยนพลางเบะริมฝีปาก
แขนเสื้อทั้งสองข้างใสสะอาดรึ?
พูดถึงใครกัน?



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ