บทที่ 336 ข้าอยากพบเขาสักหน่อย
ไม่มีใครคาดคิดว่าฉินเฟิงจะกล้าโจมตีทหารรักษาพระองค์ ทั้งยังยุติการต่อสู้ได้ในพริบตา กลยุทธ์อวนจับปลาที่ดูงุ่มง่ามและตลกขบขันนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เพียงแต่ทำให้ทหารรักษาพระองค์อับอายเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาขององครักษ์ค่ายเทียนจีอีกด้วย
จ้าวอวี้หลงที่มากับฉินเฟิงได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา
ความรู้สึกประหลาดใจในคราแรกเปลี่ยนไปสู่ความเลื่อมใสในที่สุด
จ้าวอวี้หลงรู้ดีว่าการติดตามฉินเฟิงเข้ามาในจวนตระกูลหลินจะนำปัญหามาให้เขา แต่เขาก็ยังคงติดตามฉินเฟิงเข้าไปโดยไม่ลังเลใจ
นับตั้งแต่จ้าวอวี้หลงจำความได้ เมื่อเขาได้ยินเสียงไก่ขันก็ตื่นขึ้นรำกระบี่ อุทิศตนเพื่อฝึกฝน หากเปรียบเทียบกับบิดา เขาได้เหนือกว่าท่านพ่อไปนานแล้ว
ทว่าการใช้ชีวิตสันโดษในเมืองหลวง แม้เขาจะเสพสุขกับยศศักดิ์และความมั่งคั่งอย่างไร้ขีดจำกัด แต่ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวอวี้หลงต้องการอย่างเห็นได้ชัด
จ้าวอวี้หลงใฝ่ฝันจะไปแนวหน้าและกอบกู้ความรุ่งโรจน์ของวงศ์ตระกูลมาตลอด แต่สิ่งที่เขาขาดคือโอกาส
ซึ่งตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว จ้าวอวี้หลงย่อมคว้าไว้เป็นธรรมดา
ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของทหารองครักษ์ เขาเหยียบย่ำสายตาที่คมกริบรอบตัว เดินเข้าไปในประตูจวนตระกูลหลินอย่างไม่สะทกสะท้าน
จ้าวอวี้หลงที่ติดตามอย่างใกล้ชิดแอบถอนหายใจ พลางคิด ‘ในเมืองหลวงไม่ขาดคนบ้าระห่ำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนบ้าอย่างฉินเฟิง อีกทั้ง… เมื่อเทียบกับคนบ้าที่รังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งพวกนั้น ความบ้าคลั่งของฉินเฟิงกลับทำให้คนไม่รู้สึกรังเกียจ’
‘อาจเป็นเพราะฉินเฟิงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน…’
‘ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับทายาทหรือขุนนางคนสำคัญ เขาล้วนไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้อยู่เสมอ’
แทบจะทันทีที่ฉินเฟิงก้าวผ่านประตูจวนตระกูลหลิน กลุ่มคนรับใช้ที่ดูเหมือนบ่าวไพร่และองครักษ์ของจวนพลันล้อมเข้ามาทันที โดยผู้นำคือพ่อบ้านจวนตระกูลหลินซึ่งเป็นชายวัยสี่สิบปีผู้หนึ่ง
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกล้าบุกเข้ามาในจวนตระกูลหลินจริง ๆ พ่อบ้านก็โกรธมาก เขาชี้ไปที่ฉินเฟิงและคำราม “ฉินเฟิง เจ้าบังอาจนัก! รู้หรือไม่ว่านี่คือสถานที่สำคัญ จวนของไท่เป่า? วันนี้มีผู้สูงศักดิ์มาเยือน เจ้าคิดโจมตีราชรถ เจ้ามีศีรษะพอให้ตัดอย่างนั้นหรือ?!”
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อการขัดขวางของทหารรักษาพระองค์ และบุกรุกเข้ามาในจวนตระกูลหลิน
เมื่อเผชิญหน้ากับการขัดขวางของพ่อบ้าน ขณะที่ทุกคนคิดว่าฉินเฟิงจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้งและเตะพ่อบ้านออกไป ฉากถัดมากลับทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง
ฉินเฟิงโค้งคำนับต่อพ่อบ้าน อีกทั้งน้ำเสียงและท่าทีของเขายังเคารพนอบน้อมอย่างถึงที่สุด แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าน้อยได้รับบัญชาให้จัดระเบียบราชการในเมืองหลวง บัดนี้ขุนนางทุกคนได้รับการตรวจสอบแล้ว ยังเหลือก็แต่จวนไท่เป่า หากปล่อยจวนไท่เป่าไว้เพียงลำพัง ข้าเกรงว่าจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันโดยไม่จำเป็น”
“ไท่เป่าหลินเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์สุจริต มีชื่อเสียงที่ดีในเมืองหลวงมาโดยตลอด หากถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จะไม่นำความอับอายมาสู่ตระกูลหลินหรอกหรือ?”
“ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่ทำตามน้ำไปย่อมสามารถอุดปากของทุกคนในใต้หล้าได้”
พ่อบ้านเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับฉินเฟิงแล้ว แต่คำพูดที่สมเหตุสมผลของนายน้อยฉิน ทำให้เขารับมือไม่ทัน
หากฉินเฟิงตามราวีก่อกวนโดยไร้เหตุผล พ่อบ้านมีวิธีเป็นกองที่จะขับไล่เขาออกไป
แต่เจ้าอันธพาลฉินเฟิงกลับเริ่มพูดอย่างมีเหตุผลขึ้นมาเสียได้
ประโยคนั้นว่าอย่างไรนะ?
อันธพาลไม่น่ากลัว กลัวก็แต่อันธพาลที่มีความรู้…
พ่อบ้านตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เมื่อพิจารณาว่าวันนี้มีคนสูงศักดิ์อยู่ในจวน รวมถึงบุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหลิน ในที่สุดก็ตัดสินใจไล่แขกอย่างฉินเฟิงเพื่อความปลอดภัย
มือที่ยื่นมาไม่ตบคนยิ้มให้*[1]
พ่อบ้านเองก็โค้งคำนับตอบ สีหน้าเผยความสุภาพถ่อมตนอยู่หลายส่วน “ต้องโทษที่ข้าน้อยใช้ความคิดต่ำช้ามาคาดเดาจิตใจของวิญญูชน นายน้อยฉินเข้าใจภาพรวมเป็นอย่างดี ช่างทำให้บ่าวเลื่อมใสยิ่งนัก แต่วันนี้ไม่สะดวกจริง ๆ หากนายน้อยฉินจำเป็นต้องมาให้ได้ ไม่สู้แจ้งให้นายท่านของข้าทราบล่วงหน้าในวันอื่น เพื่อที่ถึงเวลานั้นจวนจะได้เตรียมตัวเอาไว้ ท่านว่าดีหรือไม่?”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ