บทที่ 338 ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ทันใด ก่อนกุ้ยเฟยจะทันได้ตอบสนอง นางกำนัลที่อยู่ข้างกายก็ตวาดเสียงดังขึ้นก่อน “ทาสชั้นต่ำกำเริบเสิบสาน พระนางจะกลับบ้านเมื่อใดยังต้องรายงานเจ้าอีกหรือ?”
ฉินเฟิงยักไหล่ กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าแค่กำลังว่ากันไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น”
นางกำนัลยังคงโมโห “ว่ากันไปตามเนื้อผ้าบ้านเจ้าสิ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตั้งใจใส่ร้าย!”
“หุบปาก! ข้ากำลังคุยกับพระนาง เจ้ามีสิทธิ์พูดอย่างนั้นรึ?!” ในที่สุดฉินเฟิงก็โกรธจัด ยัยแก่กุ้ยเฟยนั่นจะรังแกข้าเพราะอาศัยสถานะของนางก็ช่างเถอะ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?
ฉินเฟิงให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมมาเสมอ แต่การที่นางกำนัลคนนี้แอบอ้างบารมีเสือทำให้เขารู้สึกไม่มีสบอารมณ์จริง ๆ
ข้าไม่สามารถด่ากุ้ยเฟยได้ แต่ข้าจะด่าเจ้าไม่ได้เชียวรึ?
“เจ้า!”
“เจ้าอะไร? ถ้ายังกล้าหยาบคายกับนายน้อยอย่างข้าอีก ระวังว่าข้าจะให้ใครสักคนโยนเจ้าออกไปก็แล้วกัน”
ไม่รอให้นางกำนัลได้เปิดปาก ฉินเฟิงพลันยิ้มอย่างเย็นชา “อีกอย่างเจ้ามีหลักฐานอะไรมาว่าข้าใส่ร้ายพระนาง? เจ้าต่างหากกำลังใส่ร้ายนายน้อยอย่างข้า!”
คำกล่าวนี้ทำให้นางกำนัลพูดไม่ออกในทันที
ไม่ถูกต้อง! เหตุใดเจ้าสารเลวคนนี้ไม่เล่นไปตามแผนเล่า
นางโยนข้อกล่าวหาออกไป ฉินเฟิงควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะใส่ร้ายถึงจะถูก จากนั้นก็ตกหลุมพรางที่นางตั้งใจวางไว้ทีละก้าว
ผลคือ… แทนที่จะแก้ตัว ฉินเฟิงกลับหันมาเล่นบทนักเลงหัวไม้ เริ่มทำตัวไร้เหตุผล
ความหมายของคำพูดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘ข้าแค่คิดว่าเจ้ากำลังปกป้องไท่เป่าหลิน ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ข้าแค่พูดแบบนี้ จะเอาอย่างไรก็ช่าง’
พฤติกรรมนี้คล้ายกับตอนที่ฉินเฟิงดูหมิ่นตระกูลหลิน และยืนกรานว่าตระกูลหลินไม่มีตำแหน่งขุนนางหรือบรรดาศักดิ์ เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ
กุ้ยเฟยเคยเสียเปรียบจากพฤติกรรมอันธพาลของนายน้อยเจ้าสำราญมาก่อน
คราวนี้จะเพลี่ยงพล้ำอีก… นางจึงจ้องนางกำนัลเขม็ง
นางกำนัลเงียบเสียงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าโต้เถียงกับฉินเฟิงอีกต่อไป
กุ้ยเฟยรู้ดีว่าคำพูดเหมือนไร้เหตุผลของฉินเฟิงคือความฉลาดของเขา
ดังสุภาษิตที่ว่า ‘ปล่อยข่าวลือด้วยหนึ่งริมฝีปาก ปฏิเสธข่าวลือแลกมาด้วยขา’
ในเมืองหลวงนี้การโจมตีด้วยวาจาไม่ต้องการหลักฐานเชิงตรรกะใด ๆ แค่ ‘การโต้แย้งที่รุนแรง’ หนึ่งประโยคก็เพียงพอแล้ว
อีกฝ่ายทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายและพิสูจน์ความบริสุทธิ์
หากไม่มีการอธิบาย ข่าวลือก็อาจกลายเป็นเรื่องจริงได้
โดยปกติแล้ว… มีเพียงขุนนางกังฉินประจบสอพลอเท่านั้นที่จะใช้วิธีนี้
แต่ฉินเฟิงเป็นทายาทจากตระกูลที่มีฐานะกลับไร้ยางอายเช่นเดียวกัน นี่ค่อนข้างเกินความคาดหมายของกุ้ยเฟย
โดยปกติแล้วกุ้ยเฟยจะดูถูกการใช้คำพูดเชิง ‘อาจจะ’ เช่นนี้ แต่ถ้าต้องการใช้คำพูดเพื่อเอาชนะฉินเฟิงนั้นเป็นเรื่องยาก ท้ายที่สุดแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้ติดกับดัก ไม่ว่ากุ้ยเฟยจะพูดอะไร ฉินเฟิงก็จะใช้วิธีตอบโต้ที่ไร้ยางอายทว่าได้ผลชะงัด ดังคำกล่าวที่ว่ากระบวนท่าเดียวพิชิตทั่วหล้า*[1]
แม้ว่ากุ้ยเฟยไม่ต้องการที่จะยอมรับ แต่ท่านพ่อของนางไท่เป่าหลินกลับวิเคราะห์ฉินเฟิงได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่านาง
มีเพียงสองวิธีเท่านั้นในการจัดการกับคนเช่นนี้
หนึ่งคือเพิกเฉยและไม่ให้โอกาสฉินเฟิงกัดไม่ปล่อย
หรือสอง สังหารเขาทิ้งเสีย
กุ้ยเฟยรู้ว่าพ่ายแพ้แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับ นางเปลี่ยนเรื่องและไม่ได้สนใจประเด็นการจัดระเบียบทางการอีก แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยโดยถามว่า “ฉินเฟิง มารดาของเจ้า ฮูหยินฉินอยู่ในอำเภอเป่ยซีเป็นอย่างไรบ้าง?”
เท่าที่กุ้ยเฟยรู้ ฉินเฟิงใส่ใจครอบครัวมากที่สุด
การสร้างประเด็นเกี่ยวกับฮูหยินฉินในเวลานี้จะต้องทำลายจิตใจมั่นคงของฉินเฟิงอย่างแน่นอน
ทว่าภายใต้การจ้องมองอย่างคาดหวังของกุ้ยเฟย นายน้อยฉินกลับหัวเราะและพูดอย่างไม่รู้สำนึกชั่วดี “ลำบากพระนางต้องเป็นห่วงแล้ว มารดาของกระหม่อมอยู่ในอำเภอเป่ยซีอย่างสบายใจเป็นที่สุด”
คำตอบนี้ทำให้กุ้ยเฟยตั้งตัวไม่ทัน
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาไม่ได้สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป “สบายใจ? อำเภอเป่ยซีมีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายและใกล้ความตายอยู่เสมอ อีกทั้งกิจการค้าขายก็ถูกระงับ แม้แต่อาหารขั้นพื้นฐานที่สุดยังต้องได้รับสนับสนุนจากภายนอก เมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนั้นฮูหยินฉินจะไร้กังวลได้อย่างไร?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเฟิงยิ่งเพิ่มขึ้น “พระนางไม่รู้อะไร กระหม่อมได้บริจาคทรัพย์สินจำนวนนับล้านตำลึงให้กับอำเภอเป่ยซี เมืองเล็ก ๆ ในอำเภอนั้นได้ถูกสร้างให้อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งมั่นคงเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ชาวเป่ยตี๋ก็อาจจะไม่ระดมพลโจมตีอีกเป็นเวลานาน นอกจากนี้อำเภอเป่ยซียังเป็นดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลฉินเรา ดังนั้นการได้อาศัยอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษของตนเองจึงเป็นชีวิตที่มีความสุขโดยธรรมชาติ”
“กลับกัน หากมารดาของกระหม่อมถูกย้ายกลับมาที่เมืองหลวงคงจะไม่สะดวกสบายนัก”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ