บทที่ 339 ไม่เคยแพ้
เลือดทำให้เสื้อผ้าของฉินเฟิงกลายเป็นสีแดงในพริบตา
ใบหน้าของจิ่งเชียนอิ่งซีดเผือดทันทีที่เห็น นางรีบประครองฉินเฟิงและกำลังจะตะโกนถามกุ้ยเฟย แต่กลับถูกฉินเฟิงปิดปากเอาไว้ก่อน
นายน้อยฉินส่ายหัว ส่งสัญญาณให้จิ่งเชียนอิ่งอดทน อย่าทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง
แม้ว่าฉินเฟิงกับกุ้ยเฟยจะตีฝีปาก โต้เถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด ทว่าตั้งแต่ต้นชายหนุ่มไม่ได้โจมตีผู้สูงศักดิ์ ท้ายที่สุดแล้วกุ้ยเฟยก็มีสถานะที่เหนือกว่าและได้รับอำนาจพิเศษในการ ‘ฆ่าก่อนแล้วรายงานทีหลัง’ แม้แต่ฉินเฟิงยังทำได้แค่หยั่งเชิงอย่างระมัดระวังและตอบสนองอย่างมีสติ
ตราบใดที่ถูกกุ้ยเฟยจับจุดอ่อนเรื่องมารยาทจะต้องถูกปลิดชีพในทันที!
ตั้งแต่ต้นจนจบ คำพูดทั้งหมดที่กุ้ยเฟยโยนออกมา ไม่ว่าภายนอกจะมีความหมายเช่นไร แต่ลึก ๆ กลับล่อลวงให้ฉินเฟิงทำผิดกฎ
อีกนิดเดียวฉินเฟิงก็จะสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่เพียงแต่ค้นพบท่าทีที่แท้จริงของตระกูลหลิน แต่ยังหลบหนีโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง…
ชายหนุ่มจนใจที่เกิดความผิดพลาดจุดเดียว เขาลืมไปว่าจิ่งเชียนอิ่งเป็นจอมยุทธ์และอาศัยอยู่ในเรือนหลังของจวนตระกูลฉินมาเป็นเวลานาน น้อยครั้งที่จะออกมาเดินเล่นภายนอกจึงรู้มารยาทปฏิบัติของราชวงศ์น้อยนัก
กระทั่งสิ่งที่เป็นพฤติกรรมธรรมดาและปกติที่สุดกลับทำให้กุ้ยเฟยมีข้ออ้างในการก่อกวน
ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ ฮองเฮา หรือกุ้ยเฟย
หนึ่งคือห้ามเงยหน้าขึ้นมองดูเกียรติของมังกรและหงส์โดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีการสบตา บุคคลนั้นอาจถูกลงโทษด้วยความผิดฐาน ‘ลอบปลงพระชนม์’
สองคือห้ามหันหลัง แม้จะถอยกลับก็ต้องถอยช้า ๆ ห้ามหมุนกายและเดินจากไปเลย มิเช่นนั้นจะเป็นความผิดฐาน ‘หมิ่นพระเกียรติ’
แม้ว่ามารยาทเหล่านี้จะดูยุ่งยากคร่ำครึ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงบารมีของราชวงศ์อย่างแท้จริง
กุ้ยเฟยออกจากตำหนักและรอฉินเฟิงที่จวนไท่เป่า นี่ไม่ใช่เพื่อโต้เถียงกับเขา แต่เพื่อคว้าโอกาสที่จะสังหาร
ไม่ว่าฮ่องเต้จะกล่าวเช่นไรในภายหลัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตำหนิกุ้ยเฟยอย่างรุนแรงเพราะเห็นแก่สือฮู่ตัวเล็ก ๆ ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว
ด้วยวิธีนี้จึงสามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่อย่างฉินเฟิงได้ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของฉินเฟิงที่ถูกย้อมสีแดง ใบหน้าน้อย ๆ ของจิ่งเชียนอิ่งก็ซีดขาว นางกอดฉินเฟิงไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ ความรู้สึกผิด และการตำหนิตนเอง
ในฐานะหนึ่งในสี่ปรมาจารย์แห่งเมืองหลวง นางกลับได้รับการปกป้องจากปัญญาชนอ่อนแออย่างฉินเฟิง
ชั่วขณะนี้จิตใจของจิ่งเชียนอิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ทว่าช่วงเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงกำลังเครียดจนไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซึ่งมีเลือด เขาเพียงก้มศีรษะลงและสารภาพรับความผิดด้วยเสียงทุ้มลึกไปทางม่านโปร่ง “พี่หญิงของกระหม่อมไม่รู้มารยาท เกือบจะทำให้ขัดเคืองพระทัย พระนางโปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยเฟยแค่นเสียง ‘หึ’ เบา ๆ อยู่ในใจ กระทั่งในเวลานี้เจ้าเด็กเหลือขอฉินเฟิงยังคงยืนหยัดได้โดยไม่ตื่นตระหนก
เกือบรึ? นั่นหมายความว่าพวกเรายังไม่ได้ปะทะกันเลยอย่างนั้นหรือ?
ชายคนนี้เล่นคำได้เก่งนัก!
แม้ว่าการโจมตีจะล้มเหลว แต่อารมณ์ของกุ้ยเฟยก็มั่นคงขึ้น อย่างน้อยการเคลื่อนไหวนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าฉินเฟิงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือดังข่าวลือ
จุดอ่อนร้ายแรงสองประการของเขาได้อยู่ในกำมือของกุ้ยเฟยแล้ว
อย่างแรกคือเงิน ตราบใดที่การเงินของค่ายเทียนจีล้มครืน ฉินเฟิงก็จะถูกกักขังและสูญเสียอำนาจ
ประการที่สองคือครอบครัว เพื่อเห็นแก่จิ่งเชียนอิ่ง ฉินเฟิงเสี่ยงชีวิตช่วยพี่สาวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองหรือแม้แต่สถานการณ์โดยรวม
แม้จะดูใจง่ายแต่แท้จริงแล้วเป็นบุรุษที่ทุ่มเทจริง ๆ!
กุ้ยเฟยไม่เคยแพ้!
ไม่ว่าจะต้องใช้ทางอ้อมหรือทางตรงล้วนสามารถเอาคืนได้ฝ่ายเดียวเสมอ
วันนี้ฉินเฟิงได้ค้นพบภูมิหลังของตระกูลหลินแล้ว ขณะเดียวกันกุ้ยเฟยก็กุมชะตากรรมของเขาไว้อย่างแน่นหนา
มาดูกันว่าต่อไปใครจะเคลื่อนไหวเร็วกว่ากัน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ