บทที่ 344 เส้นทางกิจการกับแคว้นที่ราบสูง
แคว้นที่ราบสูงมีขนาดเล็กและมีประชากรเบาบาง ขาดแคลนปัจจัย การค้าขายยังอยู่ในระดับโบราณ อย่าว่าแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันที่พอไปวัดไปวาได้เลย แม้แต่เข็มกับด้ายและของปลีกย่อยอื่น ๆ ยังต้องนำเข้า
นับตั้งแต่เกิดความบาดหมางระหว่างต้าเหลียงและเป่ยตี๋ ช่องทางการนำเข้าของแคว้นที่ราบสูงจึงถูกผ่าครึ่ง พวกเขาทำได้เพียงซื้อขายกับแคว้นเป่ยตี๋เท่านั้น
แต่อัตราส่วนการค้าของเป่ยตี๋นั้นเทียบไม่ได้กับต้าเหลียง
อย่างพวกน้ำตาล สำหรับแคว้นที่ราบสูงแล้วอย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ขุนนางก็ไม่สามารถกินได้ มีเพียงเชื้อพระวงศ์บางพระองค์เท่านั้นที่ยังเพลิดเพลินได้บ้าง แต่น้ำตาลก็ใกล้จะหมดคลังเต็มที
ด้วยเหตุนี้กองคาราวานที่ฉินเฟิงส่งไปนั้น สำหรับแคว้นที่ราบสูง จึงไม่ต่างจากการส่งถ่านกลางหิมะ
จากผ้าไปจนถึงน้ำตาลและชา ตราบใดที่ฉินเฟิงสามารถจัดหาสินค้าได้ แคว้นที่ราบสูงย่อมรับมันทั้งหมดอย่างไม่สงสัย แต้เนื่องจากแคว้นที่ราบสูงหาได้ผลิตทองคำเงินตรา พวกเขาจึงทำได้เพียงแลกเปลี่ยนโดยใช้ปศุสัตว์พิเศษในท้องถิ่นอย่างม้าที่ราบสูง แกะ จามรี หรืออื่น ๆ เพื่อจ่ายค่าสินค้า
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่สนใจแกะและวัวเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียง ‘หึ’ เบา ๆ “ม้าที่ราบสูงราคาหนึ่งพันตำลึง? แคว้นที่ราบสูงไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย! ทั้ง ๆ ที่จะซื้อเกลือ สุรา น้ำตาล และชาก็ยังไม่ได้ แต่กลับต้องการเชือดข้า หรือคิดว่าตนเองมีสิทธิเด็ดขาดในการเจรจาอยู่ในกำมือ?”
ฉินเฟิงถึงขั้นคร้านจะตอบจดหมาย เขาเพียงเอ่ยอย่างสงบผ่านม่านประตูรถม้า “นำม้าที่ราบสูงพันตัวที่ได้รับจากการเจรจากลับมา ส่วนกิจการที่เสนอมาปฏิเสธไปทั้งหมด นอกจากนี้ บอกฮ่องเต้แคว้นที่ราบสูงด้วยว่า แคว้นท่านขาดความจริงใจขั้นพื้นฐาน หลังจากชำระเงินจนหมดแล้ว ค่ายเทียนจีของเราจะไม่ทำการค้ากับแคว้นที่ราบสูงอีกนับจากนี้เป็นต้นไป เว้นเสียแต่ว่า…”
“ราคาของม้าที่ราบสูงหนึ่งตัวจะลดลงเป็นห้าร้อยตำลึงเงิน”
เสียงอันแผ่วเบาขององครักษ์เสื้อแพรดังมาจากนอกม่านรถ “ขอรับ”
เมื่อรู้ว่าฉินเฟิงกำลังจะตัดราคาม้าลงครึ่งหนึ่ง จิ่งเชียนอิ่งก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นางเอ่ยอย่างกังวล “จะไม่กดราคาเกินไปหรือ? แม้แต่ม้าศึกที่ต้าเหลียงเราเลี้ยงเองก็ยังราคาห้าหรือหกร้อยตำลึงเงินต่อหนึ่งตัวแล้ว”
จิ่งเชียนอิ่งรักเงิน และแหล่งรายได้เดียวของนางคือฉินเฟิง ดังนั้นนางจึงใส่ใจอย่างมากเกี่ยวกับผลกำไรขาดทุนของเขา
แม้แต่เสี่ยวเซียงเซียงซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิถีพ่อค้า นางก็ยังรู้สึกว่าการกระทำของนายน้อยฉินเกินไปอยู่สักหน่อย และการต่อรองก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น เขาตัดราคาลงครึ่งหนึ่งในพริบตาเดียว เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้แคว้นที่ราบสูงจะอยากทำการค้ากับฉินเฟิงอีก
เสี่ยวเซียงเซียงจึงเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นายน้อย หากฮ่องเต้แคว้นที่ราบสูงไม่ตอบท่าน เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ท้ายที่สุดแล้วก็มีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่ผลิตม้าที่ราบสูงได้”
ฉินเฟิงทรุดนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวเซียงเซียง ประสานมือหลังท้ายทอย ยกขาไขว่ห้างและพูดอย่างสบาย ๆ “ไม่ต้องกังวลไป ในการทำกิจการ การต่อรองเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้แคว้นที่ราบสูงมีคู่ค้าเพียงหนึ่งเดียวคือเป่ยตี๋เท่านั้น อีกทั้งขนาดกิจการของเป่ยตี๋ก็ทั้งเล็กและน่าสงสาร จะดูแลตัวเองยังไม่มีเวลา แล้วจะมีหนทางในการจัดหาสิ่งของให้แคว้นที่ราบสูงได้อย่างไร”
“เหอะ ๆ ฮ่องเต้แคว้นที่ราบสูงย่อมไม่มีทางเลือก”
“อีกอย่าง แม้ว่าราคาจะกดลงเหลือห้าร้อยตำลึงเงิน แคว้นที่ราบสูงก็ไม่เสียเปรียบ ท้ายที่สุดแล้วพวกเรากำลังแลกเปลี่ยนสินค้ากันโดยตรง ไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง เงินห้าร้อยตำลึงเงินนี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นของที่มีมูลค่าเท่า ๆ กันได้ หากข้าเป็นฮ่องเต้แคว้นที่ราบสูง เกรงว่าคงจะหัวเราะแม้กระทั่งยามหลับฝันแล้ว”
เสี่ยวเซียงเซียงกัดริมฝีปากบางของนางเบา ๆ แม้ว่านางจะมั่นใจในตัวฉินเฟิงเต็มเปี่ยม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำด้วยเสียงเบา “เป็นอย่างที่ท่านพูดขนาดนั้นที่ไหนกัน”
ฉินเฟิงขยำก้นของเสี่ยวเซียงเซียงแรง ๆ ทีหนึ่ง โดยไม่สนว่านางจะมีใบหน้าแดงก่ำแค่ไหน ก่อนเขาจะเอ่ยปัด “เอาเป็นว่า ข้าไม่เพียงต้องการทำกิจการกับแคว้นที่ราบสูงเท่านั้น แต่ยังจะทำให้แคว้นที่ราบสูงกลายเป็นผู้จัดหาม้าศึกของค่ายเทียนจีโดยเฉพาะอีกด้วย แคว้นเล็ก ๆ เดิมทีก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนักในเรื่องการค้าอยู่แล้ว”
จิ่งเชียนอิ่งกับเสี่ยวเซียงเซียงมองหน้ากันด้วยสายตาเหลือเชื่อ
ไม่ว่าแคว้นที่ราบสูงจะเล็กแค่ไหน แต่ก็ยังได้ชื่อว่าแคว้น
ฉินเฟิงถึงกับต้องการยึดแคว้นหนึ่งแคว้นไว้ในมือ เปลี่ยนแคว้นที่ราบสูงให้เป็นแคว้นใต้บังคับบัญชาของค่ายเทียนจี นี่เป็นการเปลี่ยนมุมมองในใจของพวกนางไปอย่างสิ้นเชิง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ