บทที่ 348 สถานการณ์ที่สิ้นหวัง
การก่อสร้างเมืองเขตนอกได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่เพราะเป็นโครงการก่อสร้างใหญ่ แม้ก่อสร้างเต็มกำลัง ทำงานผลัดกะเต็มเวลาก็ยังแทบไม่มีความหวัง
ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยตี๋ได้รู้ความตั้งใจของอำเภอเป่ยซีที่จะขยายเมืองแล้ว พวกเขาย่อมไม่นั่งนิ่งรอความตาย ส่งทหารลาดตระเวนออกไปก่อกวนเป็นครั้งคราว
ส่วนผู้ประสบภัยก็ยังหลั่งไหลเข้ามาเหมือนโรคระบาด!
เมื่อผู้ประสบภัยที่อยู่ด้านหลังได้รู้ว่าอำเภอเป่ยซีดำเนินนโยบาย ‘ยอมรับทุกคน’ พวกเขาราวกับตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ต่างเดินหน้ารุดไปยังอำเภอเป่ยซีดุจเกลียวคลื่น
กลุ่มผู้ประสบภัยขนาดใหญ่มีจำนวนหลายร้อยคน ส่วนกลุ่มที่เล็กที่สุดก็มีสามถึงห้าคน
พวกเขาทั้งหมดมีความเชื่อเดียวกันในใจว่า ตราบใดที่เข้าสู่อำเภอเป่ยซีได้สำเร็จ พวกเขาก็สามารถอ้าแขนรับชีวิตใหม่ได้
สำหรับผู้ประสบภัย อำเภอเป่ยซีไม่ได้เป็นแค่เมือง แต่เป็นความหวัง!
ในชีวิตที่มืดมนสิ้นหวัง ทันใดนั้นแสงเรืองรองก็ปรากฏขึ้น นำทางทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นราวผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าสู่เปลวเพลิง
เนื่องจากจำนวนผู้ประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป่ยตี๋จึงใช้ประโยชน์จากพวกเขาส่งทหารลาดตระเวนกลุ่มเล็ก ๆ ออกมาฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วนและกลับไปพร้อมเสบียง
ฝ่ายเราตกยากอีกฝ่ายฉกฉวยโอกาส
ทหารรักษาการณ์อำเภอเป่ยซีเผชิญกับสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างรุนแรง หนิงหู่และสวีโม่นำทหารรักษาการณ์เข้าโจมตีซ้ายขวา เหนื่อยล้าเต็มทน ได้นอนพักเพียงสามชั่วยามต่อวัน กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งทหารเป่ยตี๋ได้ ทุกวันยังต้องมองดูผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนถูกสังหารหมู่
ในระหว่างนี้ แม่ทัพทหารม้า แม่ทัพรถม้าศึก และกองทหารชายแดนไม่ส่งทหารมาช่วยเหลือเลยแม้แต่นายเดียว
ดวงตาของหนิงหู่แดงก่ำ เขาขบฟันแน่น “ในต้าเหลียงมีแค่พวกเราที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของผู้ประสบภัยรึ? กำลังพลของแม่ทัพทหารม้าและแม่ทัพรถม้าศึกมีมากถึงหลายแสนนาย ต่อให้ส่งทหารมาช่วยสักกองพันก็เพียงพอแล้วที่จะปิดกั้นทหารเป่ยตี๋ทางตอนเหนือและสร้างเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับผู้ประสบภัย”
สวีโม่ผ่อนลมหายใจยาว เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับ แต่ความจริงนั้นโหดร้าย “ฮูหยินฉินมองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งจึงชี้แจงให้ข้าทราบเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“สถานการณ์ในเป่ยซีมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับราชสำนักในเมืองหลวง”
“แม่ทัพทหารม้า แม่ทัพรถม้าศึก และกองทหารชายแดนต่างก็มีผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ล้วนไม่ใช่พันธมิตรของพี่ฉินแน่นอน พวกเขาต่างรอวันที่อำเภอเป่ยซีพังย่อยยับ ผู้คนล้มตาย เพื่อลากพี่ฉินลงจากที่สูง แล้วพวกเขาจะมาช่วยได้อย่างไร นอกจากนั้น… ผู้ประสบภัยเหล่านี้ ไม่ว่าจะแห่งหนใดล้วนถูกมองว่าเป็นภาระ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ภาระ’ หนิงหู่ก็โกรธจัดและคำรามอย่างบ้าคลั่ง “คนเหล่านี้ล้วนเป็นราษฎรของต้าเหลียง!”
สวีโม่ถอนหายใจยาว “แล้วอย่างไรเล่า ‘หลังประตูชาดสุราเนื้อกองเน่าเหม็น บนถนนเห็นกระดูกขาวหนาวตาย’*[1] บุตรหลานขุนนางในเมืองหลวงมีชีวิตสุขสบาย ใช้เงินหมื่นตำลึงโดยไม่ขมวดคิ้ว แต่ถ้าเป็นการระดมทุนเพื่อซื้ออาหารบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย พวกเขากลับเจ็บปวดใจกว่าโดนดาบแทงเสียอีก”
“ผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่เห็นความทุกข์ทรมานของผู้ประสบภัยในสายตา ภายใต้แรงกดดันจากทุกด้าน คหบดีท้องถิ่นทำได้เพียงเมินเฉยต่อผู้ประสบภัย ข้ากล้าพูดเลยว่า หากกวาดตามองดูทั้งต้าเหลียงแล้ว ย่อมมีเพียงพี่ฉินเท่านั้นที่ยอมรับผู้ประสบภัยไว้โดยไม่สนใจสิ่งใด ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองความคิด จากจุดยืนของพี่ฉิน เราควรตัดสินใจอย่างไร?”
หนิงหู่เงียบไป…
เรื่องการรองรับผู้ประสบภัย หนิงหู่รู้ดีว่าเขาไม่กล้าหาญเท่าฉินเฟิง
นอกจากนี้…
ต่อให้มีความกล้าแล้วจะทำอะไรได้? การจัดหาเสบียง ตั้งถิ่นฐานให้ผู้ประสบภัย การรุกรานของเป่ยตี๋ สำหรับหนิงหู่แล้ว ปัญหาเหล่านี้ล้วนยากยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก
มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่สามารถประครองอำเภอเป่ยซีต่อไปได้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ