บทที่ 349 ปล่อยน้ำในบ่อแห้งเพื่อจับปลา?
ในวันที่หลิ่วหงเหยียนตัดสินใจ ห้องบัญชีคราคร่ำไปด้วยผู้คน
เสิ่นชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย “ร้านหนังสือเป็นหนึ่งในเส้นชีพจรของเฟิงเอ๋อร์ และตอนนี้ก็เป็นแค่สองอุตสาหกรรมในค่ายเทียนจีที่ยังคงมีรายได้ ปล่อยน้ำในบ่อจนแห้งเพื่อจับปลา*[1] แม้ว่าจะสามารถบรรเทาความกังวลชั่วคราว ทว่าจะต้องมีปัญหาไม่รู้จบในอนาคตอย่างแน่นอน!”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “น้ำตาลทรายขาวเป็นรากฐานของฉินเฟิง หากแม้แต่อุตสาหกรรมน้ำตาลถูกขาย เมื่อเขากลับจากอำเภอชางผิงมายังเมืองหลวงแล้ว เราจะอธิบายกับเขาอย่างไร?”
สีหน้าของฉินเทียนหู่มืดครึ้ม เขาไม่ส่งเสียงสักนิด อย่างไรเขาก็รู้ถึงสภาวะเข้าตาจนของอำเภอเป่ยซี และเข้าใจความกดดันของหลิ่วหงเหยียน ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
เมื่อเผชิญกับความสงสัยและการขัดขวางของทุกคน หลิ่วหงเหยียนสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาของนางแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เส้นทางการค้าถูกจู่โจม กดดันให้ฟางเส้นสุดท้ายของอำเภอเป่ยซีปรากฏขึ้น! เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ตราบใดที่อำเภอเป่ยซีขาดแคลนเสบียง อย่าว่าแต่เป่ยตี๋เลย แค่การหลั่งไหลเข้ามาของผู้หิวโหยจำนวนมากก็อาจทำให้อำเภอเป่ยซีพังทลายได้!”
“ตอนนี้นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้น!”
“เราต้องขายร้านหนังสือและอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อระดมทุนฉุกเฉิน แก้ไขความต้องการเร่งด่วนของอำเภอเป่ยซี มิฉะนั้นหากอำเภอเป่ยซีล้มลงย่อมส่งผลกระทบอื่น ๆ ตามมาอีกมาก ถึงตอนนั้นค่ายเทียนจีและตระกูลฉินก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน!”
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์กับเสิ่นชิงฉือไม่เต็มใจที่จะขายทรัพย์สินออกไป
แต่…
แต่พวกนางเข้าใจ การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลต่อคนทั้งหมดได้
อำเภอเป่ยซีต้องไม่ล้มลง!
นี่เป็นสถานการณ์ที่จนมุม หนึ่งร่วงทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง
หลิ่วหงเหยียนไม่ลังเลอีกต่อไป นางปฏิเสธความคิดเห็นทั้งหมด ปล่อยให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวไปตามกระแสลม และจัดการประชุมทางการค้าทันที ไม่เพียงแต่สำหรับพ่อค้าเท่านั้น แต่สำหรับขุนนางในราชสำนักด้วย ผู้ใดก็ตามที่สนใจน้ำตาลทรายขาวและร้านหนังสือสามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถขายอุตสาหกรรมทั้งสองในราคาสูงและต่อชีวิตของอำเภอเป่ยซีได้
…
ณ วังหลัง ในโรงดอกไม้ทิศตะวันตก
กุ้ยเฟยมองไปยังคำเชิญงานประชุมการค้าที่หลิ่วหงเหยียนแจกจ่ายออกมา นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หึ ๆ สิ่งที่ควรจะมาในที่สุดก็มาถึงแล้ว”
“ฉินเฟิงมีความสามารถพิเศษในการรีดไถเงิน ไม่ว่าจะเป็นวิถีพ่อค้าหรือการใช้ทักษะอันแยบยล ล้วนเป็นประวัติการณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ หากเขาอุทิศตนให้กับการค้า ในอนาคตเขาจะต้องกลายเป็นผู้ทำการค้าที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า อุตสาหกรรมทางเจียงหนานของตระกูลหลินข้ายังยินดีที่จะร่วมมือกับเขาและแสวงหาการทำการค้าร่วมกัน แต่ก็น่าเสียดาย… “
“ผิดหนึ่งก้าว ทุกก้าวผิดตาม!”
“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังเป็นเพียงคนคนเดียว ในสงครามแคว้น คนคนเดียวจะเอาชนะสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่ว่าเขาจะมั่งมีเพียงใด หากโยนลงสู่หุบเหวของสงคราม เขาก็ไม่แม้แต่จะทำให้น้ำกระเซ็นได้”
นางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “พระนางเพคะ เหตุใดไม่ปล่อยตามลม สั่งพ่อค้าในเมืองหลวงไม่ให้ซื้อทรัพย์สินของค่ายเทียนจี เท่านี้ก็สามารถทำให้ฉินเฟิงย่อยยับได้ในคราวเดียวมิใช่หรือเพคะ?”
กุ้ยเฟยเหลือบมองและแค่นเสียง “ชีวิตของทาสชั้นต่ำโดยกำเนิดมองการณ์ตื้นเขินเช่นนี้เอง อย่าว่าแต่ร้านหนังสือเลย อุตสาหกรรมน้ำตาลเพียงอย่างเดียวก็เป็นดังทองที่ไหลมาเทมาทุกวัน นี่เป็นเบี้ยชิ้นสุดท้ายในมือของฉินเฟิง ตราบใดที่ปล่อยให้ฉินเฟิงขายอุตสาหกรรมน้ำตาล เขาก็จะไม่มีไพ่ให้เล่นอีกต่อไป มิเช่นนั้นเจ้าสารเลวนี่จะทำอย่างไร ในเมื่อเขาต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อกลับมาอีกครั้งในอนาคต”
นางกำนัลรีบก้มศีรษะลง “พระนางสั่งสอนถูกต้องเพคะ สายตาของบ่าว แม้อยากประจบยังตามไม่ทันพระนาง”
กุ้ยเฟยไม่ชอบคนอวดฉลาด แต่นางไม่ชอบคนที่ประจบสอพลอมากยิ่งกว่า ท้ายที่สุดแล้วคนทั้งสองประเภทนี้จะเข้ามายุ่งกับความคิดของนาง นางจ้องเขม็งทันที “ไสหัวไป ขวางหูขวางตาเสียจริง!”
นางกำนัลไม่กล้าลังเล รีบถอยออกไปทันที

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ