บทที่ 350 ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากมนุษย์
ค่ายเทียนจีก็เหมือนโรงงาน โรงงานทำเงินได้หรือไม่? คำตอบคือแน่นอน
ทว่าไม่เพียงต้องรับมือกับการเอารัดเอาเปรียบจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเท่านั้น แต่ยังต้องให้สัมปทานกับตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ อีกด้วย มากที่สุดนับว่าสามารถยืนหยัดและทำเงินได้
ตอนนี้ค่ายเทียนจีขายอุตสาหกรรมน้ำตาล แต่ไม่ได้หมายความว่า ‘ทรัพย์สินทางปัญญา’ จะถูกบรรจุและขายออกไปด้วย
ตราบใดที่ฉินเฟิงยังคงควบคุมสูตรวัตถุดิบและกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายขาว ชายหนุ่มก็ยังคงได้รับส่วนแบ่งกำไรในส่วนนั้น
ความแตกต่างคือ ฉินเฟิงเปลี่ยนจากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทางปัญญา
แม้ว่าค่าธรรมเนียมทางปัญญาจะมีค่าเพียงร้อยละสิบ แต่นั่นก็เท่ากับได้เงินมาเปล่า ๆ
จากยืนหาเงินเปลี่ยนเป็นนอนหาเงิน ไยจะไม่ดีเล่า?
ด้วยวิธีนี้ฉินเฟิงสามารถวางมือและจิตใจลงได้ นี่ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมผลกำไรขั้นต้นของอุตสาหกรรมน้ำตาลเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำตาล อีกทั้งยังเป็นการผูกขาดอุตสาหกรรมลูกกวาดต่อไปด้วย
อุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมลูกวาด แม้จะดูใกล้เคียงกัน ทว่ากลับแตกต่างกันคนละโลก
เช่นเดียวกับร้านหนังสือ!
ฉินเฟิงไม่สามารถควบคุมราคาและการขายหนังสือได้ แต่ในฐานะ ‘ผู้เขียน’ เขาไม่ได้ลงนามในสัญญาการขายตัวใด ๆ และค่าลิขสิทธิ์ที่สูงเสียดฟ้าก็เพียงพอให้กินจนอิ่ม
การขายกิจการและการควบรวมกิจกาจนั้นไม่เหมือนกัน!
อย่างไรก็ตามในยุคนี้ หนึ่งไม่มีสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค สองไม่มีศาล สามไม่มีกฎหมายผูกขาด สิทธิ์ในการพูดทั้งหมดอยู่ในมือของฉินเฟิงเอง …อยากจะไปฟ้องร้องที่ใดก็ได้ที่ต้องการ นายน้อยอย่างข้าคงไม่อาจคอยรับใช้
นอกจากนี้หากไม่ขายกิจการน้ำตาลให้กับพ่อค้าชาวเมืองหลวง เขาจะย้ายโรงงานไปยังอำเภอเป่ยซีได้อย่างไร?
คนอื่น ๆ อาจทำกำไรได้ แต่ฉินเฟิงจะไม่มีวันขาดทุน
กิจการในเมืองหลวงมอบให้หลิ่วหงเหยียนจัดการเป็นพอ พี่หญิงรองท่านนี้เป็นสตรที่แข็งแกร่ง นางไม่มีวันทำอันใดเลอะเลือนจนทำร้ายฉินเฟิงอย่างแน่นอน
งานเบื้องหน้าของนายน้อยฉินคือการบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบภัยในอำเภอชางผิง
เป็นเรื่องจริงที่อำเภอเป่ยซีต้องการประชากร ทว่าก็มีข้อจำกัดเช่นกัน หากเหยื่อภัยพิบัติจากทั่วทุกหย่อมหญ้าแห่กันไปที่อำเภอเป่ยซี ไม่ว่าเขาจะรวยแค่ไหน ฉินเฟิงก็คงไม่สามารถจ่ายได้ไหว
เงินที่รวบรวมได้จากบรรดาทายาทและขุนนางใหญ่ผ่านการจัดระเบียบขุนนางในเมืองหลวงถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ใช้เพื่อซื้ออาหารบรรเทาภัยพิบัติ
ประการแรก อาหารบรรเทาภัยพิบัติจะช่วยแก้ไขตามอาการ แต่ไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง
ประการที่สอง แม้ว่าอำเภอโดยรอบจะไม่เลวร้ายเท่ากับอำเภอชางผิง ทว่าก็ได้รับผลกระทบจากผู้หิวโหยในอำเภอชางผิงผ่านจนวันเวลาไปอย่างทุกข์ยากเช่นกัน แม้ว่าฉินเฟิงจะยอมจ่ายในราคาที่สูง แต่ก็เกรงว่าจะไม่มีอาหารเหลือจะขาย
สาเหตุของความอดอยากในอำเภอชางผิงไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์!
ท้ายที่สุดแล้วจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนในท้องถิ่น
ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่รีบร้อนที่จะเข้าเมือง เขาส่งจ้าวอวี้หลง อู๋เว่ยและฉินเสี่ยวฝูไปตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ
ไม่ผิดจากที่ชายหนุ่มคาดไว้
อำเภอชางผิงตั้งอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กลางของอาณาเขตต้าเหลียง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ตามแนวชายฝั่ง แต่ความเสี่ยงจากภัยแล้งก็ยังน้อยกว่าทางซีเป่ยมาก
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ