บทที่ 367 ลูกกวาดในเจียงหนาน
เมื่อพ่อบ้านชราถาม หวังเฉิงก็พูดออกมา “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้เงินเลย พวกเขาใช้ราคาซื้อปันส่วนทหาร สิบอีแปะต่อหนึ่งเซิง… เสบียงในเจียงหนานของเราอยู่ที่สี่สิบอีแปะต่อหนึ่งเซิง ขาดไปสามเท่า แล้วนี่แตกต่างกับการปล้นแบบเปิดเผยอย่างไรขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำตอบของหวังเฉิง พ่อบ้านชราก็แค่นเสียงในลำคอแล้วโบกมือไล่ให้หวังเฉิงออกไป
หวังเฉิงรู้สึกงุนงงจึงถามเซ้าซี้ต่ออีก แต่กลับถูกพ่อบ้านชราจ้องเขม็ง
“พ่อค้าหวัง เจ้าต้องการให้ข้าพูดอะไรกับเจ้า? หรือเมล็ดพืชพันธุ์ทั้งหมดในร้านหวังจี้ของเจ้าแขวนอยู่หน้าประตูเพื่อให้คนอื่นฉกฉวยไปรึ? นอกจากสินค้าที่วางเรียงในร้าน ที่เหลือทั้งหมดอยู่ในโกดังเก็บของ ข้าไม่เชื่อว่าคนของฉินเฟิงจะไปที่ยุ้งฉางของเจ้าเองได้”
“ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเจ้าขี้ขลาดเกินไปไม่ใช่หรือ? คนเขาข่มขู่นิดหน่อย เจ้าก็ส่งเสบียงอาหารไปให้แล้วกระมัง?”
“ราคาซื้อเสบียงทหารคือสิบอีแปะต่อเซิง เงินก็มอบให้เจ้าแล้ว นับเป็นการซื้อไม่ใช่การปล้น เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป มีกฎหมายให้ปฏิบัติตามมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้เจ้าจะยื่นคำฟ้องร้องต่อทางการ เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์ใด”
ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ไม่มีที่ว่างสำหรับการแก้ไขเรื่องนี้
ฉินเฟิงใช้หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเพื่อซื้อเสบียงหนึ่งหมื่นต้าน ต่อให้พูดให้เลวร้าย อย่างมากก็ถือได้ว่าเป็น ‘การบังคับระดมเสบียง’ เท่านั้น
ถ้าหวังจี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เมล็ดพืชคืน นั่นเท่ากับปล้นเสบียงทหาร นี่ถือเป็นโทษสถานใดเล่า? กรณีเบาที่สุดอาจเป็นการตัดศีรษะ แต่กรณีเลวร้ายที่สุดอาจเป็นฆ่าล้างตระกูล!
นี่คือความสามารถของเจ้าเด็กฉินเฟิง เขาเก่งกาจในการใช้สิ่งเล็ก ๆ ทำการใหญ่
เสบียงหนึ่งหมื่นต้านนี้ ถ้าไม่เอาแล้วก็ถือว่าฉินเฟิงได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ แต่ถ้าจะเอากลับมาก็ต้องเสี่ยงต่อการทำผิดร้ายแรง
ฮึ!
ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะหวังเฉิงขี้ขลาดเกินไป!
หวังเฉิงแสดงสีหน้าน้อยใจ “มันไม่ใช่ความผิดของข้า แม่ทัพที่ฉินเฟิงพามาล้วนดุร้าย มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มา ทว่าเมื่อพูดกันไม่ลงรอย พวกเขาก็ทุบหัวคนของข้าจนเลือดตกยางออก โดยเฉพาะคนที่ใช้กระบองหัวหนาม เจ้านั่นพังโต๊ะไม้เก่าหักเป็นสองซีกทำเอาข้าตกใจแทบตาย”
“คนพวกนั้นเป็นทหารที่ไหนกัน? พวกเขาไม่ต่างจากโจรเลยด้วยซ้ำ”
“คนที่เราติดต่อด้วยล้วนแต่สุภาพเรียบร้อย เราเคยเจอพฤติกรรมไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน”
เมื่อเห็นหวังเฉิงบ่นกระปอดกระแปด พ่อบ้านชราก็ถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่สามารถตำหนิหวังเฉิงได้ อย่างไรก็ไม่มีใครคาดคิดว่าคนของฉินเฟิงจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แม้แต่ตระกูลหลินก็ยังไม่ได้เตรียมตัวดี
ขณะเดียวกันนี้ บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลินก็วิ่งเข้ามาพร้อมหอบหายใจ
“ท่านพ่อบ้านเฒ่า ข้าซื้อมันกลับมาแล้ว นี่คือของหายากชิ้นใหม่ที่ร้านตระกูลฉินเปิดตัวในวันนี้ เรียกว่าลูกกวาดขอรับ”
พ่อบ้านชราหยิบถุงผ้าใบเล็กที่บ่าวรับใช้ยื่นมา
หลังจากคลี่ออก ก้อนกระดาษก็ปรากฏขึ้นข้างใน เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง
หลังจากใช้แรงเปิดออกก็มีก้อนน้ำตาลใสเหมือนอัญมณีอยู่ในนั้น
“นี่คือลูกกวาดหรือ? ข้าเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก แปลกใหม่ดี”
พ่อบ้านเฒ่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบลูกกวาดเข้าปาก พลันดวงตาของเขาที่ประสบกับความผันผวนของคลื่นชีวิตมามากมายและสงบนิ่งมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็เบ่งบานด้วยความสดใสไร้ขอบเขต
“อืม!”
พ่อบ้านชรายังคงส่งเสียงอื้ออึงคลุมเครือ แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว
รสชาติของลูกกวาดทำให้พ่อบ้านเฒ่าต้องทำความเข้ารสชาติหวานใหม่อีกครั้ง
เมื่อเห็นหวังเฉิงเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น พ่อบ้านชราก็ยื่นให้เขาหนึ่งเม็ด
หวังเฉิงใส่มันเข้าไปในปาก สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปมาหลายตลบ
มีทั้งความประหลาดใจ ครุ่นคิดถึงรสชาติที่แฝงอยู่ แต่ส่วนใหญ่คือความหวาดกลัว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ