บทที่ 368 นกฮูกราตรีโจมตี
ฉินเฟิงเพิ่งขยายร้านค้าไปเจียงหนานและทำกิจการอย่างมีสติ รอบคอบ สมเหตุสมผล หากใครกล้าขัดขวางก็อย่าตำหนิที่เขาไร้ความปรานีและเอาคืนอย่างบ้าคลั่งก็แล้วกัน
นายน้อยฉินเพียงต้องการตอกตะปูไว้ใต้จมูกตระกูลหลิน แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อรากฐานของตระกูลหลินแต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจได้
ฉินเสี่ยวฝูทำหน้าที่เป็นเจ้าของร้านค้าตระกูลฉิน แม้ว่าเจ้าคนผู้นี้จะโลภและมักจะรับเงินใต้โต๊ะ แต่เขาจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ในช่วงเวลาวิกฤติก็มีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออยู่ที่นี่ เขาจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจการเบื้องต้นของร้านค้าตระกูลฉิน
ก่อนออกจากเจียงหนาน นอกจากหนิงหู่และอู๋เว่ยแล้ว ฉินเฟิงยังให้จ้าวอวี้หลงอยู่ที่เจียงหนานอีกคน อย่างไรร้านค้าตระกูลฉินก็ต้องการผู้รักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ทหารมือปราบสองร้อยนายจากอำเภอชางผิงและทหารใหม่หนึ่งพันนายจากอำเภอเป่ยซี ก็ยังคงประจำการอยู่ที่ถังชี
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากตระกูลหลินต้องการทำสิ่งชั่วร้าย พวกเขาจะเผชิญกับสถานการณ์ ‘ขัดแย้งนองเลือดครั้งใหญ่’
การป้องกันอย่างเข้มแข็งเท่ากับความสงบสุข
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็พาเสี่ยวเซียงเซียง จิ่งเชียนอิ่ง และหลี่หลางออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
เนื่องจากระหว่างทางกลับเมืองหลวง จำนวนคนร่วมทางลดลง กองกำลังป้องกันก็ลดลงอย่างมาก
ฉินเฟิงรู้ดีว่าตนเองสร้างศัตรูไว้มากนัก ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการประโคมข่าวครั้งใหญ่ตอนเขามาถึง ยามกลับไปนายน้อยเจ้าสำราญเลือกที่จะทำให้เรื่องเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเพื่อความปลอดภัย เขาถึงกับเบี่ยงเส้นทางออกจากถนนหลักที่มีผู้คนสัญจรไปมา ไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อพักผ่อนก่อนค่ำ แล้วเดินทางต่อตอนรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น
ในวันที่สี่ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ออกจากอำเภอต้าเจ๋อและมุ่งหน้าไปยังอำเภอหมิงหลาน
ระยะทางระหว่างสองอำเภอนี้คือหนึ่งร้อยยี่สิบลี้ ความเร็วของรถม้าก็จำกัด หลังจากเคลื่อนขบวนรถอย่างเร่งรีบมาทั้งวันก็ยังไม่สามารถไปถึงอำเภอหมิงหลานได้ทันเวลา เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด และบนถนนมีเพียงรถม้าสองคันของฉินเฟิงเท่านั้น แม้แต่คนบังคับรถม้าก็ยังเริ่มตื่นกลัว เขาหันไปเอ่ยเตือนฉินเฟิงบ่อยครั้ง
“นายน้อย ฟ้าเริ่มมืดแล้วขอรับ!”
“ยังอยู่ห่างจากอำเภอหมิงหลานอีกยี่สิบลี้ การเดินทางตอนกลางคืนไม่ปลอดภัย ไม่สู้เราตั้งจุดพักแรมก่อนดีหรือไม่ขอรับ?”
สิ่งที่เรียกว่าจุดพักแรมนั้นจริง ๆ แล้วคล้ายกับการเล่นซ่อนหา
ซ่อนสิ่งของไว้ข้างถนนโดยไม่เปิดตะเกียงหรือจุดไฟ ใช้ความมืดเป็นที่กำบัง
ท้ายที่สุดแล้วโจรป่าโจรเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา วิสัยทัศน์มีจำกัดในยามวิกาล จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุตำแหน่งของขบวนรถได้
หากวิ่งต่อไปบนถนน ในระยะหนึ่งลี้จะได้ยินเสียงกีบม้าชัดเจน
ฉินเฟิงไม่สนใจอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็มีจิ่งเชียนอิ่งกับหลี่หลางปกป้องเขา ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด
“เอาละ อย่างไรเสียในเวลานี้ประตูของอำเภอหมิงหลานก็ถูกปิดไปนานแล้ว และไม่รู้ว่านายอำเภอหมิงหลานเป็นคนอย่างไร จะยอมเห็นแก่หน้าของข้าหรือไม่ แทนที่จะลองเสี่ยง ตั้งจุดพักแรมที่นี่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
หลังจากได้รับคำตอบจากฉินเฟิง คนขับรถม้าก็ไม่ลังเลอีก เขาบังคับรถม้าไปที่ริมทางเพื่อปักหลักทันที
ตกกลางคืน ฟ้ามืดลง
บัดนี้สิ้นยามจื่อแล้ว
ตอนฉินเฟิงนอนอยู่ในผ้าห่มนุ่ม ๆ เหยียดแขนขาออกโอบเสี่ยวเซียงเซียงไว้ในอ้อมอก และนอนหลับอย่างสบายใจ พลันก็มีเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นด้วยความตระหนก
ฉินเฟิงพลิกตัวด้วยความงุนงง ตบปากสองสามครั้ง เอ่ยเสียงเครือ “ดึกเพียงนี้แล้ว เอะอะอะไรกัน!”
พริบตาต่อมาก็มีเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
“ฆ่า!”
ทันใดนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง ตกตะลึงอยู่ไม่กี่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก
แม่งเอ๊ย เกิดอะไรขึ้น?
ฉินเฟิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เปิดม่านประตูมองออกไปผ่านช่องว่าง บริเวณโดยรอบมืดสนิท แทบมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงการต่อสู้อันเบาบางเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันเสี่ยวเซียงเซียงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว นางกอดฉินเฟิงแน่นจากด้านหลังแล้วกระซิบเสียงแผ่ว “นายน้อย คุณหนูสี่ไม่ได้อยู่บนรถม้าเจ้าค่ะ”
อะไรนะ?!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ