บทที่ 370 ศิษย์ค่ายเทียนจี
ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์เสื้อแพร ฉินเฟิงแบกเสี่ยวเซียงเซียงที่หมดสติย้ายไปที่รถม้าโรงฝีมือ
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเขา
พูดให้ถูกคือ แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรที่คุ้มครองฉินเฟิงก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นอกรถม้าเลย
สภาพแวดล้อมรอบตัวมืดมาก ทำได้เพียงอาศัยฟังจากเสียงกรีดร้องเป็นครั้งคราว หรือเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงรับรู้ได้ว่าการต่อสู้ที่ซ่อนอยู่ในความมืดยังคงดำเนินอยู่และทวีความรุนแรงมากขึ้น
ภายในสิบจั้งจากรถม้ามีนกฮูกราตรีเจ็ดคนและองครักษ์เสื้อแพรสิบสามคนซุ่มซ่อนอยู่
ทุกคนล้วนนอนหมอบอยู่บนพื้น ตั้งสมาธิ ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ ‘หน่วยสอดแนม’ ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารข่าวกรองเหล่านี้ก็ยังรู้สึกกังวลจนเหงื่อเต็มฝ่ามือ
มือที่ยึดคันธนูและลูกธนูไว้แน่นเริ่มแข็งทื่อ เนื่องจากอยู่ในสภาวะตึงเครียดมาเป็นเวลานาน
ตั้งแต่เริ่มจู่โจมจนถึงตอนนี้ นอกจากสองสามคนที่ถูกโจมตีในระยะใกล้จนเสียชีวิต คนอื่น ๆ เกือบทุกคนถูกยิงตายด้วยลูกธนู
แม้ว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างจากกันไม่ถึงสองจั้ง แต่ทุกคนก็ยังคงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คันธนูในมือ แทนที่จะเป็นอาวุธสำหรับการสู้ระยะประชิดอย่างดาบ
เสิ่นเคอ หัวหน้าหน่วยนกฮูกราตรีที่ดำเนินการแก้แค้นครั้งนี้มีดวงตาราวกับนกอินทรี แม้ว่าข้อมูลที่สองตาของเขาสามารถเข้าถึงได้จะจำกัดถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังคงตรวจสอบทุกพื้นที่รอบตัวด้วยความเข้มงวดและระมัดระวังอย่างยิ่ง ตำแหน่งใดที่ศัตรูอาจซุ่มซ่อนอยู่ล้วนไม่พลาดสักจุด
หากเป็นในอดีต เสิ่นเคอคงได้รับคำสั่งให้โจมตีขบวนรถอย่างบ้าคลั่งนานแล้ว
ทว่านับตั้งแต่เป่ยตี๋เริ่มเปิดฉากสงครามกับอำเภอเป่ยซีและได้เห็นวิธีการต่อสู้ของค่ายเทียนจี หน่วยนกฮูกราตรีทั้งหมดจึงได้รับผลกระทบอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งรูปแบบการต่อสู้ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากแนวโน้มในการลอบสังหารระยะประชิด ค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้การยิงธนูและลูกศร พยายามให้ได้ผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์ที่มากที่สุดโดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่าสมาชิกนกฮูกราตรีทุ่มเทความพยายามมากเพียงใดเพื่อพัฒนาทักษะการยิงธนูของพวกเขา
ตอนนี้เสิ่นเคออยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการแก้แค้นครั้งนี้ นกฮูกราตรีได้ทำการค้นหาข่าวกรองก่อนการต่อสู้อย่างละเอียด และได้รับการยืนยันว่า องครักษ์ของค่ายเทียนจีกระจายตัวอยู่ในเมืองหลวง อำเภอเป่ยซี และถังชี สามแห่งนี้ ระหว่างทางกลับของฉินเฟิงจึงไม่มีองครักษ์ค่ายเทียนจีอยู่ข้างกาย
แม้ยอดฝีมือระดับสูงอย่างจิ่งเชียนอิ่งและหลี่หลางจะร่วมทางมากับนายน้อยฉิน ทว่านี่ก็ยังคงเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับนกฮูกราตรี!
เสิ่นเคอจึงมีความมั่นใจที่จะจับฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่ง และคนอื่น ๆ ได้ในคราวเดียว
ทว่า…
แผนงานไม่สามารถตามทันการเปลี่ยนแปลง และคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต
เสิ่นเคอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมียอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวฉินเฟิงที่อยู่เพียงแค่เอื้อมมือ
คนเหล่านี้ไม่ใช่ทั้งองครักษ์ค่ายเทียนจีหรือคนจากยุทธภพ แต่เป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ!
‘องครักษ์ค่ายเทียนจีรึ? หรือหน่วยองครักษ์ชุดดำ?’
สิ่งที่เสิ่นเคอคิดออกก็มีเพียงแค่สองหน่วยนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้เป็นของทั้งสองหน่วยอย่างแน่นอน
แปลกนัก เป็นไปได้หรือที่คนเหล่านี้จะปรากฏตัวออกมาจากอากาศ?
หรือว่า…
นอกจากองครักษ์ค่ายเทียนจีแล้ว ฉินเฟิงยังมีกองกำลังลับอยู่ในมืออีก?!
เมื่อคิดได้เท่านี้ เสิ่นเคอพลันหนาวสะท้าน ด้วยระดับความระมัดระวังตัวของฉินเฟิงนั้นเกินกว่าที่เขาเข้าใจ และยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งต้องจัดการฉินเฟิงให้ได้!
คืนนี้มีผลลัพธ์เพียงสองอย่าง
กองทัพทั้งหมดของนกฮูกราตรีถูกทำลายล้างหรือ… ฉินเฟิงตาย!
ขณะที่เสิ่นเคอกำลังรอโอกาสรบอย่างระมัดระวัง จู่ ๆ เปลวไฟก็จุดประกายขึ้นมาจากทางรถม้า
ดวงตาของเสิ่นเคอเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“โง่เง่า ภายใต้การเผชิญหน้าที่ตึงเครียดเช่นนี้ยังกล้าเปิดเผยที่อยู่ รนหาที่ตายนัก!”
เสิ่นเคอไม่ลังเลเลยสักนิด เขาผูกกระบอกสั้นในแนวทแยงมุมบนไหล่เพื่อที่จะสามารถหยิบลูกธนูได้ด้วยมือเดียว มือซ้ายหยิบคันธนู มือขวาดึงลูกธนูพาดไว้บนคันธนู ทันทีที่ปล่อยมือ ลูกธนูก็บินออกไป ทันใดมือขวาก็ดึงลูกศรออกมาอีกดอกและอีกดอก

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ