บทที่ 374 จับคนเป็นผักปลา
ตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ถนนในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปจนถึงขุนนางอาลักษณ์มากกว่ายี่สิบครัวเรือน พวกเขาถูกองครักษ์ค่ายเทียนจีทุบประตู ล่ามโซ่เหล็ก และพาตัวไป
โดยปกติแล้วองครักษ์ค่ายเทียนจีไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายในเมืองหลวง
ทว่าน่าแปลกที่ทุกหน่วยในเมืองหลวงต่างนิ่งเงียบในเวลานี้
แม้ว่าองครักษ์ค่ายเทียนจีจะ ‘กระทำการเหิมเกริม’ ทว่ากลับไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดในที่เกิดเหตุออกมาหยุดยั้งพวกเขา แม้แต่หน่วยลาดตระเวนและกรมขุนนางก็ยังลืมตาข้างหลับตาข้าง
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ยืนอยู่ที่ประตูจวน มองดูองครักษ์ค่ายเทียนจีสองคนจับขุนนางขั้นเจ็ดผู้หนึ่งผ่านถนนและตรอกซอกซอย มุ่งตรงไปยังค่ายเทียนจี นางขมวดคิ้วด้วยความว้าวุ่นใจ
“ท่านพ่อ สาวใช้คนสนิทของฉินเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส สลบไสลไม่คืนสติ ข้าเข้าใจความรู้สึกของเขา ทว่า… การส่งทหารไปจับกุมผู้คนในเมืองหลวงอย่างกำเริบเสิบสาน ไหนเลยจะเป็นเพียงการละเมิดข้อห้าม? หากฝ่าบาทตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อตระกูลฉินทั้งหมด ข้าจะไปที่จวนตระกูลฉินสักเที่ยว บอกให้เจ้าฉินเฟิงยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง”
อวิ๋นเอ๋อร์กล่าววาจายืดยาว และกำลังจะก้าวออกไป ทว่าก็ถูกเซี่ยปี้รั้งไว้เสียก่อน
ยามนี้สายตาของเซี่ยปี้เคร่งขรึมนัก แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถข่มอารมณ์ไว้ได้มากกว่าบุตรี “หากเป็นการละเมิดกฎจริง กองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์คงจะล้อมค่ายเทียนจีไปนานแล้ว แต่เจ้าดูสิ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์หรือหน่วยลาดตระเวน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวถูกส่งไป เหมือนว่าจะมีการพูดคุยกันมานานแล้ว และจงใจ ‘ให้ความสะดวก’ แก่ฉินเฟิง นี่คือเจตจำนงของฝ่าบาท”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็ประหลาดใจ “ท่านพ่อ ท่านหมายถึง… การเคลื่อนไหวของฉินเฟิง ได้รับการอนุญาตจากฝ่าบาทหรือ?”
เซี่ยปี้ถอนหายใจเบา ๆ “ไม่ใช่แค่อนุญาต แต่เป็นสิทธิพิเศษในพระทัยฝ่าบาท!”
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า ฝ่าบาทแต่งตั้งฉินเฟิงให้จัดระเบียบทางการในเมืองหลวง? ประการแรกไม่มีการจำกัดเวลา สองไม่มีการจำกัดอำนาจ แม้ดูเหมือนเป็นตำแหน่งในนามปากเปล่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นอำนาจพิเศษที่ขุนนางแห่งเมืองหลวงหวาดกลัว ตราบใดที่ฝ่าบาทไม่เอาตำแหน่งตรวจสอบในนามของฉินเฟิงกลับมา ขุนนางภายในเมืองหลวงทั้งหมดตอนนี้ ล้วนไม่มีใครกล้าตีเสมอนายน้อยฉิน”
“อีกทั้ง… ตั้งแต่ฉินเฟิงไปที่อำเภอชางผิง ฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสถึงเรื่องนี้อีก ทุกวันนี้ในการประชุมราชสำนัก สิ่งที่หารือกันล้วนเป็นเรื่องสงครามแนวหน้า กิจการภายใน และความต้องการภายในแคว้น ราวกับลืมเรื่องอำเภอชางผิงไปสิ้น ทว่าในความจริง ภายในใจทุกคนต่างรู้ดี ฝ่าบาทจงใจคลายโซ่เหล็กในพระหัตถ์ของพระองค์และปล่อยให้สุนัขดุร้ายข้างกายออกไปกัดคน”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เข้าใจความหมายในคำพูดนี้ทันที นางจึงลดเสียงลงกระซิบ “ฝ่าบาทจงใจให้ท้ายฉินเฟิง เพื่อที่จะเตือน… ตระกูลหลินหรือเจ้าคะ?”
เซี่ยปี้ขยิบตาให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง สามารถรับรู้ได้ด้วยความเข้าใจ แต่มิอาจถ่ายทอดได้โดยวาจา
ในเวลานี้จวนตระกูลหลินเต็มไปด้วยทหาร
บ่าวรับใช้และองครักษ์ทุกคนในจวนตระกูลหลินต่างเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ รอให้ทหารค่ายเทียนจีมาเยือน
แม้แต่ไท่เป่าหลินเองก็นั่งอยู่ในห้องโถง
ตอนนี้เอง พ่อบ้านชราวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “นายท่าน เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านผู้สูงศักดิ์เพิ่งมาตอนตรวจค้นจวนไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะยกข้ออ้างออกจากวัง”
ไท่เป่าหลินพยักหน้าโดยไม่มีแสดงสีหน้าท่าทีใดมากนัก ครั้งสุดท้ายที่กุ้ยเฟยอยู่ที่เรือนหลัง เจ้าฉินเฟิงนั่นมิใช่ตรงเข้ามาถึงใจกลางจวนตระกูลหลินหรอกหรือ?
แต่ในตอนแรก ฉินเฟิงหาได้บ้าบิ่นถึงเพียงนี้
ทว่าตอนนี้เขาถูกโจมตีระหว่างทางและสาวใช้คนสนิทก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังกุมคำสั่งไว้ในมือ จับผู้คนในเมืองหลวงโดยอ้างว่า ‘ตรวจสอบผู้ทรยศและหน่วยสอดแนมศัตรู’
อาจกล่าวได้ว่าฉินเฟิงได้ปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียวแล้ว ดังนั้นแม้กุ้ยเฟยจะมาก็ไม่มีความหมาย
กุ้ยเฟยหรือจะสามารถหยุดฉินเฟิงจากการ ‘ตรวจสอบหน่วยสอดแนมของศัตรู’ ได้?
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแคว้น!
ไท่เป่าหลินถอนหายใจ แม้เขาจะวางแผนล้ำลึก มากประสบการณ์ แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่า ‘ลูกศรขนไก่’ ในมือของฉินเฟิง จะกลายเป็นอำนาจอำพรางสวรรค์เฉกเช่นวันนี้
ตราบใดที่ฝ่าบาทไม่ถอนคำพูดก็ไม่มีใครสามารถควบคุมฉินเฟิงได้
ในเวลานี้เอง บ่าวรับใช้สองคนก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา
“นายท่าน! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว องครักษ์ค่ายเทียนจีกำลังตรงมายังจวนตระกูลหลินของเรา!”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ