บทที่ 382 การหงายไพ่ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง
ฉินเฟิงนั้นเรียบง่ายมาก ความปรารถนาสูงสุดของเขาคือการมีอาหารและเสื้อผ้าดี ๆ มีภรรยาและลูก ๆ บนเตียงที่อบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ซับซ้อนมาก พฤติกรรมของเขาไม่สามารถใช้เหตุผลธรรมดา ๆ ตัดสินได้ เขาอาจจะอดกลั้นได้ดีกว่าใคร ๆ หรืออาจจะเป็นเหมือนถังระเบิดที่ปะทุได้ทันทีที่จุดไฟ
อุปนิสัยอันเอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ค่อนข้างคล้ายกับของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอยู่หลายส่วน
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ยิ่งไม่สบายพระทัย
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงสังหารฉินเฟิงโดยไม่ลังเลใจ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากต้องการความสงบภายในใจเท่านั้น
ทว่าตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว ฉินเฟิงเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจนถึงจุดที่แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้
การเปลี่ยนแปลงในอำเภอเป่ยซีส่งผลต่อทิศทางของสงครามอยู่เสมอ ยามนี้ทางด้านเป่ยตี๋กำลังระดมสมองเพื่อกำจัดฉินเฟิง หากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงและฉินเฟิงแตกหักกันในเวลานี้ก็เท่ากับสร้างความเจ็บปวดให้คนฝ่ายเดียวกันและทำให้ศัตรูมีความสุข
ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายเทียนจีภักดีต่อฉินเฟิงมาก กล่าวอย่างถ่อมตัวนับว่าค่ายเทียนจีทั้งหมดเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง แต่ก็ไม่มีใครสามารถแทนที่ทักษะอันชาญฉลาดและความคิดแปลก ๆ ของฉินเฟิงได้ ค่ายเทียนจีที่ไร้ฉินเฟิงย่อมไม่ใช่ค่ายเทียนจีอีกต่อไป
ในสถานการณ์ของการเผชิญหน้าเชิงกลยุทธ์รอบด้าน บุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถบุกทะลวงและสร้างความเสียหายให้กับเป่ยตี๋ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถทำให้เป่ยตี๋หวาดกลัวและต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาลได้ก็คือ ฉินเฟิง!
การกำจัดฉินเฟิงจะสร้างความเสียหายมากโขโดยไม่มีผลดีแม้แต่อย่างเดียว
แต่หากรักษาฉินเฟิงไว้ มีแต่จะให้ประโยชน์มากมาย แม้จะยังแฝงอันตรายอยู่เล็กน้อย
หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย โทสะในดวงเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพลันสลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยความลึกซึ้งดังเดิม
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยกนิ้วขึ้น เคาะเบา ๆ บนโต๊ะทีหนึ่ง เกิดเป็นเสียงเคาะอันคมชัด
ทันใดองครักษ์ชุดดำซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลมก็ถอยออกไป
รวมถึงองครักษ์หลวงและขันทีน้อยที่เฝ้าประตูก็ถอยหลบไปเช่นกัน
ยามนี้ในห้องทรงพระอักษรเหลือเพียงฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงและฉินเฟิงสองคนเท่านั้น บทสนทนาทั้งหมดระหว่างทั้งสองมีเพียงฟ้าดินและเจ้ากับข้าที่รู้ ไม่มีบุคคลที่สามรับรู้อีก
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงหยิบฎีกาสองแผ่นออกมาจากกองหนาข้างกายแล้วโยนไปที่ฉินเฟิง
ฉินเฟิงก้มลง หยิบมันขึ้นมา ฎีกาแรกนำโดยไท่เป่าหลิน และลงนามโดยขุนนางครึ่งหนึ่งในราชสำนัก ฎีกานี้เป็นฎีกาฟ้องร้อง แจกแจงความผิดของฉินเฟิงไว้จำนวนมาก หากยกความผิดแต่ละรายการออกมาล้วนเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษตัดศีรษะ และข้อความระหว่างบรรทัดก็ล้วนมีข้อมูลทะลุปรุโปร่ง
ตราบใดที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเต็มใจจะสังหารฉินเฟิง หรือถอดฉินเทียนหู่ออกจากตำแหน่งในฐานะผู้ดูแลสงคราม ไท่เป่าหลินก็เต็มใจที่จะมอบกิจการหลักสามกิจการให้ อันได้แก่ เกลือ น้ำตาล และชาในเจียงหนานทั้งหมด
และ…
ฉินเฟิงค้นพบว่าเวลาที่มีการถวายฎีกานั้นไม่ใช่เมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่เป็นเมื่อ… สองเดือนก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่ฉินเฟิงลากมหาเสนาเกาหมิงลงจากเวที ไท่เป่าหลินได้ยื่นฎีกาอย่างลับ ๆ วางแผนจะกำจัดตัวหายนะอย่างฉินเฟิง เพียงแต่ถูกฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงขัดขวาง และเรื่องนี้ก็ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ไม่ทันได้ก่อระลอกคลื่นใด
แต่ตราบใดที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเต็มใจ ไท่เป่าหลินก็สามารถบรรลุ ‘ข้อตกลง’ นี้ได้ตลอดเวลา
ฎีกาม้วนที่สองเป็นจดหมายร่วมลงนามโดยแม่ทัพทหารม้าและแม่ทัพรถม้าศึก ฟ้องร้องว่าฉินเฟิงแอบขยายอำเภอเป่ยซี รับสมัครกองกำลัง ใช้กองทหารส่วนตัว มีเจตนาลอบวางแผนชั่ว
อาจกล่าวได้ว่าฎีกาทั้งสองนี้สามารถจัดการฉินเฟิงให้ตายได้เลย
ทว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เก็บงำและข่มกลั้นเอาไว้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ