บทที่ 390 ลงมือได้ก็อย่าเปลืองน้ำลาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดานายน้อยที่รวมตัวกันอยู่นอกประตูหอวิจิตรศิลป์ก็หัวเราะเยาะ
“ฮ่าฮ่า หลิวหลานผู้นี้มาก่อเรื่องที่ถิ่นของฉินเฟิงเอง นี่ไม่ใช่ว่าอยากโดนอัดหรืออย่างไร ทั้งเมืองหลวง ใครบ้างไม่รู้ว่าฉินเฟิงเป็นมีดแร่เนื้อ หากทำให้เขาขุ่นเคือง ถูกถลกหนังยังนับว่าเบาแล้ว”
“พูดแบบนั้นไม่ได้หรอก หลิวหลานเป็นบุตรชายของผู้ดูแลสำนักไท่ฉาง ขุนนางกว่าเก้าส่วนในเมืองหลวง ต่างคัดเลือกผ่านการสอบขุนนางเข้ามา และพวกเขาล้วนมีความรู้สึกขอบคุณตระกูลหลิว นอกจากการสอบขุนนางแล้ว สำนักไท่ฉางก็ยังเป็นผู้ดูแลเรื่องพิธีกรรม การบวงสรวง ติดต่อใกล้ชิดกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ในวัง แม้ตำแหน่งทางการจะไม่สูง แต่มีความน่าเชื่อและมีอำนาจมาก!”
“ดูสิ นอกจากหลิวหลานแล้ว ยังมีเฉินเถิงบุตรชายของผู้ดูแลสำนักศึกษาหลวงอีกนั่น แค่บรรดาศิษย์ของสองสำนักก็ครอบคลุมขุนนางในเมืองหลวงไปกว่าเก้าส่วน หากทำให้คนสองคนนี้ขุ่นเคือง ขุนนางฝ่ายบุ๋นคงทั้งเอ่ยวาจาเชือดเฉือนและเขียนบทความด่าประจานเป็นแน่!”
“นี่ยังเป็นเรื่องเล็ก พวกเจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ คนผู้นี้ไม่สนใจชื่อเสียง… ประเด็นก็คือ องค์ชายสิบเอ็ดอยู่ที่นี่ด้วย จุ๊ ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้คนพวกนี้พุ่งเป้ามาที่ฉินเฟิงอย่างชัดเจน”
บรรดานายน้อยที่เฝ้าดูส่วนใหญ่ต่างก็เป็นบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสามคนที่อยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหม่นแสงลงไปไม่น้อย
เมื่อเผชิญกับคำคุกคามของหลิวหลาน ฉินเฟิงก็วางมือไว้ด้านหลัง ฉีกยิ้ม เงยหน้าขึ้น สังเกตอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
ก็แค่โดนทุบหน้าผาก ไม่นับว่าเป็นอะไรมาก
“พี่หลิว เจ้ากล่าวผิดแล้ว หอวิจิตรศิลป์เปิดประตูทำกิจการ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนมาขัดขวาง ดังคำกล่าวที่ว่า ลูกค้าคือเทพเซียน ข้าฉินเฟิงย่อมทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่เจ้าหยาบคายกับพี่หญิงใหญ่ของข้า ข้าแค่เตะเจ้าไปทีเดียว ไม่ได้หักขาของเจ้าเสียหน่อย เจ้าควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวหลานก็อ้าปากค้าง “อะไรนะ? ข้ายังต้องขอบคุณเจ้ารึ?”
“ฉิน… ฉินเฟิงตัวดี โอหังจริง ๆ ถ้าข้าไม่ไปศาลต้าหลี่เพื่อฟ้องร้องเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ข้าไม่ขอใช้แซ่หลิว!”
ฉินเฟิงพลันมีความสุข ตบไหล่หลิวหลานเบา ๆ “ไปฟ้องร้องที่ศาลต้าหลี่หรือ? แน่นอนว่าได้ แต่ข้าฝากเจ้าช่วยส่งเรื่องฟ้องร้องแทนข้าอีกสักเรื่องเถิด ฝากบอกด้วยว่า บุตรชายของผู้ดูแลสำนักฉางไท่ ไม่รู้จักประพฤติตนให้ดี ไร้มารยาทต่อบุตรีคนโตของตระกูลฉินต่อหน้าธารกำนัล ตามกฎหมายต้าเหลียง ผู้ใดล่วงละเมิดสตรีบนถนนจะถูกลงโทษด้วยการตอน!”
หลิวหลานไม่เพียงรู้สึกหนาวสั่นที่หว่างขา แต่ยังก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว เขาชี้ไปที่ฉินเฟิงแล้วขบกรามแน่น “ฉินเฟิง คนอื่นกลัวเจ้า แต่ข้าไม่กลัว! อย่าใช้ ‘กฎหมายต้าเหลียง’ มาข่มข้า ข้า…”
ก่อนที่หลิวหลานจะพูดจบ ฉินเฟิงก็ชิงถามขึ้นมา “‘กฎหมายต้าเหลียง’ กำหนดโดยปฐมฮ่องเต้ เจ้าไม่เห็น ‘กฎหมายต้าเหลียง’ อยู่ในสายตา เจ้ามีเจตนาใด?!”
ใบหน้าของหลิวหลานพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
เขารู้มานานแล้วว่าฉินเฟิงเก่งกาจในการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มักยึดคุณธรรมมาผูกมัด วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้เอง เฉินเถิงบุตรชายของผู้ดูแลสำนักศึกษาหลวงที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พูดขึ้นอย่างสงบ “พี่ฉิน พวกเราทุกคนต่างเป็นบุตรหลานในเมืองหลวง ท่านทุบตีหลิวหลานต่อหน้าธารกำนัลก็มิใช่เรื่องน่าฟังกระมัง? ส่วนเรื่องหยอกล้อบุตรีใหญ่ตระกูลฉิน ยิ่งไม่มีมูลความจริง หอวิจิตรศิลป์เปิดทำการ ย่อมต้องมีคนรับรอง เรามาที่นี่เพราะชื่อเสียงของคุณหนูเสิ่น แต่นางหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้า นี่นับเป็นมารยาทแบบใดได้?”
“พี่หลิว ก็เพียงเคาะประตูเพื่อเชิญให้คุณหนูเสิ่นออกมาก็เท่านั้น”
ไม่ต้องพูดเลย เรื่องนี้เฉินเถิงก็มีส่วนร่วมด้วย!
ฉินเฟิงยิ้มตาหยี หยิบไม้บรรทัดที่เสิ่นชิงฉือมักจะใช้ซ้อมเขาขึ้นมาจากโต๊ะข้าง ๆ เดินเอามือไพล่หลังไปหาเฉินเถิง
เฉินเถิงลอบกลืนน้ำลาย จ้องมองไปยังไม้บรรทัดที่อยู่ด้านหลังฉินเฟิง แล้วพูดอย่างประหม่า “เจ้า… เจ้าจะทำอะไร?”
“ฉินเฟิง! นี่คือเมืองหลวง จะให้เจ้าก่อเรื่องได้อย่างไร!”
ฉินเฟิงยังคงมีรอยยิ้มราวกับตนเองไร้พิษภัยบนใบหน้า “ข้าแค่อยากถามเจ้าว่า เจ้ามีส่วนร่วมในการหยอกล้อพี่หญิงของข้าหรือไม่?”
เฉินเถิงพลันกัดฟันพูด “หยอกล้ออันใด? ข้าแค่ต้องการเชิญ…”
“เชิญบ้านเอ็งน่ะสิ!” ฉินเฟิงชูไม้บรรทัด ตีไปบนหัวของเฉินเถิงจัง ๆ
เฉินเถิงถูกโจมตีอย่างแรง จนศีรษะมีเลือดออก เขากุมศีรษะแล้วล้มลงจากเก้าอี้พร้อมกับส่งเสียงโหยหวนไม่หยุด



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ