บทที่ 398 ศาสตร์แห่งการถ่วงสมดุล
จางซิวเย่เป็นบ่าวชราที่คลุกคลีอยู่ในกำแพงวังมาเกือบทั้งชีวิต รู้ดีว่าวังหลังเป็นเวทีต่อสู้ของทุกขั้วอำนาจ
เขาถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยเตือนด้วยเสียงแผ่ว “พระสนมลี่ผิน อำนาจของท่านอ่อนแอ มีเรื่องราวมากมายที่ท่านไม่อาจเอื้อมจึงดูถูกดูแคลนความร้ายกาจแห่งวังหลัง ผู้สูงศักดิ์ทุกพระองค์ในวังหลังนี้ เทียบกันแล้วกุ้ยเฟยถือว่าพูดคุยด้วยได้ง่ายที่สุด”
“แม้กุ้ยเฟยจะดูดุดันรุนแรง แต่พระนางก็เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา รังเกียจการพูดอ้อมค้อม ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ถ้าหากท่านทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคือง แม้จะต้องตายก็ตายอย่างรู้แจ่มแจ้ง”
“เมื่อเทียบกับกุ้ยเฟยแล้ว ผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ หากหลบได้ก็หลบเสีย อย่าเข้าไปยุ่งอันใดอีก มิฉะนั้น ท่านอาจตายโดยไม่รู้ตัว วังหลังไร้คนเมตตา ผู้ที่เบื้องหน้ายิ้มแย้ม ลับหลังแทงมีดข้างหลังก็มีมิใช่น้อย องค์หญิงใหญ่เป็นพระขนิษฐาแท้ ๆ ของฮ่องเต้ เป็นผู้มีแผนการเลิศล้ำ โปรดฟังคำแนะนำของบ่าวชราอย่างข้าและอย่าได้ถามถึงองค์หญิงใหญ่อีกเลย”
ลี่ผินพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ขอบคุณขันทีจางที่เอ่ยเตือน ลี่ผินเข้าใจแล้ว”
จางซิวเย่มองดูลี่ผินอย่างลึกล้ำ ก่อนจะลอบถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีกและหันกลับไปอย่างเงียบ ๆ
นางสนมผู้สูงศักดิ์ถูกลดระดับลงถึงสามขั้นโดยไม่ทันระวัง อย่างไรนี่ก็คือวังหลัง ไม่มีที่ว่างสำหรับการกลับตัวกลับใจ ผิดก้าวเดียวนำไปสู่หายนะชั่วนิรันดร์
ฮ่องเต้อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นหน้าเป็นเวลานาน ไม่กลับเข้าไปในเขตวังหลังมานานนับปี ส่วนใหญ่ก็แค่พบฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยที่ตำหนักเจียวไท่ แม้แต่สนมเฟยขั้นรองก็แทบไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้ นับประสาอะไรกับสนมขั้นผิน ชีวิตนี้ของลี่ผิน เกรงว่าจะไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอีก แทบไม่ต่างอะไรจากการถูกผลักไสไปอยู่ในตำหนักเย็น…
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย เซี่ยปี้กับฉินเทียนหู่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน
ฉินเทียนหู่หยิบไหสุราขึ้นมาดื่มลงในอึกหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจยาว “ท่านกั๋วกง เจ้าเด็กฉินเฟิง นับวันยิ่งโอหังมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเวลาผ่านไปนาน เกรงว่าจะนำภัยมาสู่ตัว ข้ามักจะรู้สึกเหมือนว่ามีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ในใจของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น”
เมื่อเห็นฉินเทียนหู่บ่นเรื่อยเปื่อยจากฤทธิ์สุรา เซี่ยปี้กลับดูผ่อนคลายมาก
ห้องหนังสือแห่งนี้ไม่มีคนนอก รอบ ๆ มีแค่คนสนิทของจวนสกุลเซี่ย เพราะจัดการพื้นที่โดยรอบแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผนังจะมีหูใครมาแอบฟัง
ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยปี้ยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง ผู้ที่จะกล้ามาสอดแนมใต้จมูกเขาย่อมมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“พี่ฉิน สิ่งที่ข้าพูดอาจไม่น่าฟัง แต่มันคือความจริง นับตั้งแต่ฉินเฟิงเริ่มอยู่ใต้สายพระเนตรของฮ่องเต้ ตระกูลฉินก็ไม่มีทางออกแล้ว วิธีการของฮ่องเต้ท่านและข้าต่างก็รู้ดี! ยิ่งเฟิงเอ๋อร์โอหังมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้าม หากเฟิงเอ๋อร์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนในเวลานี้ เขาก็จะถูกกำจัดทิ้ง”
“ศาสตร์แห่งการถ่วงสมดุลนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการขับเสือให้กินหมาป่า ในเมื่อเฟิงเอ๋อร์เป็นเสือ เขาจึงต้องดุร้ายเหมือนเสือ”
ฉินเทียนหู่พยักหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่ายต่อต้านสงครามที่สิ้นอำนาจ เกาหมิงถูกลดตำแหน่ง ทั้งราชสำนักจึงเป็นใต้หล้าของฝ่ายสนับสนุนสงคราม ขณะนี้สงครามแคว้นกำลังดำเนินอยู่ ฝ่ายสนับสนุนสงครามได้มีโอกาสควรจะเป็นเรื่องที่ดี ทว่า… ฮ่องเต้ที่เคยสนับสนุนการสงครามอย่างแข็งขันก่อนหน้านี้ พลันหยุดเคลื่อนไหว”
“ไม่เพียงกำจัดหลี่จ้านและสนับสนุนจางซิวเย่เท่านั้น แต่ยังเมินเฉยต่อไท่เป่าหลินอีกด้วย”
“เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้รู้สึกว่าฝ่ายสนับสนุนสงครามมีอำนาจมากจึงเริ่มส่งเสริมฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของฝ่ายสนับสนุนสงครามแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยปี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี “ฮ่องเต้เอาแต่พูดว่าขุนนางในราชสำนักควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ถ้าขุนนางบุ๋นบู๊รวมกันอย่างแท้จริง พระองค์ย่อมเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ ยิ่งฝ่ายในราชสำนักเป็นหนึ่งเดียวกันมากเท่าไหร่ ฮ่องเต้ยิ่งไม่สบายใจมากท่านั้น บัดนี้ฝ่าบาทควบคุมองครักษ์หน้าพระที่นั่ง ทหารรักษาพระองค์ หน่วยองครักษ์ชุดดำ และค่ายทหารต่าง ๆ ในเมืองหลวงเป็นการส่วนตัว ใครก็ตามที่ทำให้ไม่พอพระทัยย่อมถูกกำจัด”
“จากนี้ไป ใต้เท้าฉินก็ควรเก็บตัวเงียบ ๆ เรื่องของสงครามแคว้นทำได้แค่คืบหน้าไปอย่างช้า ๆ เท่านั้น เว้นแต่ฮ่องเต้จะถามขึ้นมา มิฉะนั้นต่อไปจะต้องพูดด้วยความระมัดระวัง”
ฉินเทียนหู่พยักหน้า “คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”
ฉินเทียนหู่หดหู่นัก เดิมทีกรมกลาโหมและกรมคลังต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฉินเทียนหู่เป็นดั่งคนสนิทของฮ่องเต้ เป็นที่ต้อนรับของทุกคน
ตอนนี้กรมคลังสิ้นอำนาจแล้ว ความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อกรมกลาโหมก็ลดน้อยลงทุกวัน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ