บทที่ 406 ใครไม่ยอม?
แม่ทัพรถม้าศึกโกรธมาก กุนซือที่อยู่ข้าง ๆ เห็นว่าฉินเฟิงจงใจบังคับให้แม่ทัพรถม้าศึกใช้กำลัง
เพียงแต่จุดประสงค์ยังไม่ชัดเจน ฉินเฟิงไม่กลัวที่จะถูกฆ่าตายภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของท่านแม่ทัพหรืออย่างไร?
กุนซือรู้ดีว่าในเวลานี้ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้ความโอหังของคนอื่นมาทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง ดังนั้นจึงกระซิบข้างหูแม่ทัพรถม้าศึกทันที “ท่านแม่ทัพ ไม่สู้จับฉินเฟิงขังเอาไว้ก่อนชั่วคราว รอจนรับสั่งของฮ่องเต้มาถึงค่อยปล่อยเขาออกมาดีหรือไม่ วิธีนี้สามารถรักษาอำนาจของท่านแม่ทัพได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการลงโทษสถานเบาที่แฝงคำเตือนครั้งใหญ่ อย่างไรเสียรับสั่งของฮ่องเต้ก็ยังมาไม่ถึง การปะทะครั้งนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด ฮ่องเต้ก็ไม่อาจตำหนิลงมาได้”
แม่ทัพรถม้าศึกไม่ชอบฉินเฟิงอยู่แล้ว เมื่อเขาได้ยินคำแนะนำของกุนซือก็เห็นด้วยทันที เขาตะโกนสั่ง “ฉินเฟิงและผู้ติดตามทั้งหมด ปลดอาวุธและยอมให้ควบคุมตัว ผู้ใดขัดขืน ลงโทษฐานบุกโจมตีค่าย ทุกคนยกเว้นฉินเฟิง ลงโทษประหารได้!”
ทหารที่อยู่รอบ ๆ กระตือรือร้นที่จะลงมืออยู่แล้ว
ทันใดนั้นเอง หน่วยสอดแนมก็เข้ามาอย่างเร่งรีบและตะโกนว่า “ท่านแม่ทัพ สวีโม่ได้นำทหารค่ายเทียนจีมาล้อมค่าย สังหารทหารลาดตระเวนไปหลายนาย! นอกจากนี้ ผู้ส่งสารยังรายงานอีกว่าที่อำเภอเป่ยซีมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ หลี่หลางระดมกองทหารม้าทมิฬห้าร้อยนาย อู๋เว่ยระดมกองทัพทหารใหม่ บัดนี้หน่วยสอดแนมที่ออกมาจากอำเภอเป่ยซีมาถึงค่ายแล้ว”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ทหารทุกนายในที่เกิดเหตุก็ตกตะลึง
แม่ทัพรถม้าศึกขมวดคิ้วแน่น จ้องไปที่ฉินเฟิงอย่างดุร้าย “เจ้า หรือว่าเจ้าจะโจมตีค่ายทหารของข้าจริง ๆ!”
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างสองแคว้น อำเภอเป่ยซีก็ต่อสู้กับเป่ยตี๋มาโดยตลอด ทหารรักษาการณ์ในเมืองล้วนเป็นทหารผ่านศึกจากการรบหลายครั้ง ในทางตรงกันข้าม แม่ทัพรถม้าศึกและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานิ่งเฉยมานานเกินไป สูญเสียประสบการณ์การต่อสู้ไปไม่น้อย
หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจริง ๆ แม้ว่าแม่ทัพรถม้าศึกจะสามารถเอาชนะอำเภอเป่ยซีด้วยจำนวนทหารที่เหนือกว่า แต่พวกเขาก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอันหนักหน่วง
เมื่อทั้งสองฝ่ายประสบความสูญเสีย ฮ่องเต้ย่อมไม่นิ่งดูดาย จักต้องระดมกำลังฝ่ายฮ่องเต้ กวาดล้างกองกำลังของแม่ทัพรถม้าศึกโดยเร็วที่สุดเป็นแน่
นี่คือเหตุผลที่ฉินเฟิงมีความมั่นใจและนำกองทหารม้าทมิฬเพียงห้าร้อยนายมาหาเรื่องถึงถิ่น
ฮ่องเต้ต้าเหลียงระแวงแม่ทัพรถม้าศึกแล้ว บัดนี้แม้ยามบรรทมก็คงอยากเรียกแม่ทัพรถม้าศึกกลับเมืองหลวง ตราบใดที่แม่ทัพรถม้าศึกกลับเมืองหลวงจักต้องถูกสังหาร ต่อให้เขาจะเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่มีผลงานทางทหารมากมายก็ตาม
เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพรถม้าศึกที่โกรธแค้น ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ท่านแม่ทัพ ข้าถือเป็นคนรุ่นเยาว์ กำลังอยู่ในช่วงกระตือรือร้น ดังคำกล่าวที่ว่า พระยังแข่งขันกันเพื่อธูปหนึ่งก้าน คนก็ต้องแข่งขันกันเพื่อความสำเร็จ”
“ถ้าอยากให้สู้เราก็จะสู้! อำเภอเป่ยซีของข้าได้รวบรวมกองกำลังทั้งหมดเพื่อโจมตี ไม่ต้องการเอาชนะท่านแม่ทัพ เพียงต้องการทำให้ท่านสูญเสียสักเจ็ดส่วน เมื่อถึงเวลานั้น หากอำเภอเป่ยซีของข้าว่างเปล่า ถูกบดขยี้โดยกองทัพเป่ยตี๋ ท่านแม่ทัพเฒ่าจะมีสองทาง หนึ่งคือเผชิญกับการโจมตีตลอดแนวด้วยกลยุทธ์ที่ถูกตีจนวุ่นวาย สองคือเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ทรงพิโรธ”
เส้นเลือดปรากฏขึ้นบนหน้าผากของแม่ทัพรถม้าศึก เขาจับดาบแน่นพลางขบกราม “เจ้ากล้าเดิมพันด้วยเมืองเป่ยซีจริง ๆ หรือ ข้าไม่เชื่อ!”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะตอบ จ้าวอวี้หลงและกองทหารม้าทมิฬที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มก็คำรามเสียงดัง
“ข้าสาบานว่าจะติดตามนายน้อยฉินไปจนตาย!”
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
มีกองทหารม้าทมิฬเพียงห้าร้อยนาย แต่กลับแผ่ไอกดดันที่แทบสั่นสะเทือนฟ้าดินออกมา
ความภักดีของกองทหารม้าทมิฬที่มีต่อฉินเฟิงและจิตวิญญาณสู้รบที่ดุเดือด นี่ได้พิสูจน์ว่าความเย่อหยิ่งของฉินเฟิงมีหลักประกัน ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ กล้าทุบหม้อข้าวจมเรือ*[1] ยอมเสี่ยงที่จะทำทุกวิถีทาง
ช่วงยามนี้ ผู้ส่งสารก็เข้ามารายงานอย่างต่อเนื่อง “ท่านแม่ทัพ ทหารค่ายเทียนจีกำลังโจมตีและสังหารทหารของเราอย่างต่อเนื่อง ขอท่านแม่ทัพสั่งการตอบโต้!”
“ท่านแม่ทัพ หน่วยสอดแนมอำเภอเป่ยซีมาถึงแล้ว!”
“ท่านแม่ทัพ อู๋เว่ยได้นำกองทัพใหม่ออกจากเมืองแล้ว”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เกือบจะควบคุมไม่ได้แล้ว กุนซือก็ข่มใจ โค้งคำนับให้ฉินเฟิงทันที “คารวะทูตปราบกบฏพิเศษ!”
เชือกเส้นสุดท้ายของแม่ทัพรถม้าศึก ขาดผึงเพราะคำพูดหนึ่งประโยคของกุนซือ
เขาไม่เคยคิดฝันว่าในวันหนึ่ง ตนเองจะถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งคุกคาม!
แต่…
สถานการณ์โดยรวมเป็นสิ่งสำคัญ
แม่ทัพรถม้าศึกหลับตา หายใจเข้าลึก ค่อย ๆ ลดด้ามดาบที่กำแน่นลงและเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าคารวะทูตปราบกบฏพิเศษ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ