บทที่ 409 เชิญลงโอ่ง
ฉินเฟิงในกระโจมโยนจดหมายลับจากองครักษ์เสื้อแพรไปด้านข้าง บนนั้นร่าย ‘การเดินทางของเว่ยเซียว’ ไว้ชัดเจน
เขาปรายตามองจ้าวอวี้หลงผู้แต่งองค์ทรงเครื่องจนถึงซี่ฟันซึ่งยืนปิดทางอยู่หน้าประตู นายน้อยฉินมิได้รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย แต่กลับขบขันมากกว่า
“เว่ยเซียวผู้นี้สมกับเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า อดทนเก่งยิ่งนัก ถึงกับแฝงตัวในชายแดนทางเหนืออยู่หลายเดือน หากได้เป็นองครักษ์เสื้อแพรย่อมช่วยกันเกื้อหนุนได้ดียิ่งขึ้น น่าเสียดาย… ภูมิหลังของเจ้านี่ไม่แน่ชัด ขืนรับเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า น่ากลัวว่าเป็นการชักภัยมาสู่ตัว”
ฉินเฟิงมิได้ใส่ใจสถานการณ์นอกกระโจม อ่านรายงานทางทหารจากแต่ละฝ่ายต่อไป
ส่วนเว่ยเซียวผู้เผชิญกับวงล้อมมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือกังวล หากแต่ค่อย ๆ ลุกขึ้น เขาเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “จากกันเพียงสามวันเป็นต้องมองเสียใหม่”
“ในอดีต ครั้นข้าจะฆ่าฉินเฟิงง่ายเหมือนหยิบของในกระเป๋าตนเอง นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าใดเอง กลับยากเหมือนปีนป่ายนภาเสียแล้ว”
เวลานั้นเอง เสียงเยียบเย็นของสตรีนางหนึ่งก็ดังเข้ามาตามสายลมยามราตรี
“ผู้ที่หมายเอาชีวิตเฟิงเอ๋อร์ในใต้หล้านี้มิได้มีเพียงเจ้า เพียงแต่เจ้าอยู่ในฐานะนักฆ่า ไม่ถึงขั้นต้องให้ความสำคัญมากนัก เราจึงมิได้แบ่งแรงมาจับกุม”
สายตาเว่ยเซียวแฝงเลศนัย มองไปตามเสียงก็เห็นหลี่เซียวหลานในอาภรณ์สีดำ มัดผมเป็นหางม้าอย่างคล่องแคล่ว นางค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากด้านหลังทหารม้าทมิฬ
เมื่อคนคุ้นเคยพบพาน เว่ยเซียวยกยิ้มอย่างอดมิได้ “โบราณว่าไว้มิมีผิด สอนลูกศิษย์จนเชี่ยวชาญแล้ว ถึงเวลาอาจารย์อดตาย เจ้าสั่งสอนหน่วยสอดแนมอำเภอเป่ยซีเหล่านี้ น่ากลัวว่ามีความดีความชอบของข้าครึ่งหนึ่งกระมัง”
ปฏิเสธมิได้ว่าครึ่งหนึ่งของความสามารถองครักษ์เสื้อแพรมาจากเว่ยเซียว หลี่เซียวหลานกำหนดให้ ‘ทักษะ’ ที่เว่ยเซียวถ่ายทอดมาให้นางเป็นภาควิชาบังคับขององครักษ์เสื้อแพร หรือก็คือองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์ของเว่ยเซียวกึ่งหนึ่ง
เพียงแต่ตัดส่วนด้อยให้เหลือแต่ส่วนดี
หลี่เซียวหลานมิได้ซาบซึ้งใน ‘คุณูปการ’ ที่เว่ยเซียวมีต่อองครักษ์เสื้อแพร ตรงกันข้าม ทันทีที่มีโอกาส นางจักฆ่าเว่ยเซียวโดยไม่ลังเล สาเหตุนั้นมิใช่อื่นใด แต่เพราะเจ้านี่เอาแต่หาทางทำร้ายฉินเฟิง
หลี่เซียวหลานจดจ้องเว่ยเซียวอย่างเย็นชา ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “ฆ่า!”
องครักษ์เสื้อแพรมิได้ลงมือแต่อย่างใด ยังคงอารักขาอยู่ข้างกายหลี่เซียวหลาน เป็นทหารม้าทมิฬที่ไล่ต้อนไปทางเว่ยเซียว ต่อให้เว่ยเซียวผู้นี้กล้าหาญชาญชัยเพียงใด วรยุทธ์เลิศเลอแค่ไหน เมื่อเผชิญกับทหารม้าทมิฬที่สวมชุดเกราะหนา ปกป้องตัวเองอย่างดีจนถึงซี่ฟัน เขาก็ทำได้เพียงถูกย่ำยี สาเหตุนั้นง่ายมาก เว่ยเซียวเชี่ยวชาญการลอบสังหาร ทว่ามิได้มีความสามารถ ‘ทลายเกราะ’
ทั้งที่รู้ว่าสิ้นฤทธิ์เดชแล้ว แต่เว่ยเซียวกลับมิได้เกรงกลัว ยังคงกำคันธนูไว้แน่นและค่อย ๆ ยกขึ้นเล็งหน้าอกของทหารม้าทมิฬตรงหน้า
เมื่อปล่อยมือ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ฉึก’
ปลายธนูกระแทกกับเกราะตรงหน้าอกทหารม้าทมิฬแล้วกระเด็นออกไป พอสร้างรอยได้บ้าง ทว่ามิอาจสร้างความเสียหายได้เลย ธนูอาบยาพิษอันเป็นอาวุธพิฆาตสำหรับคนทั่วไป กลับเสมือนของเด็กเล่นเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารม้าทมิฬ
ขณะเดียวกัน ทหารม้าทมิฬทั้งสี่ค่อย ๆ ยกหอกในมือขึ้นช้า ๆ
ไม่คิดต่อสู้ประชิดตัวกับเว่ยเซียว อาศัยความยาวของหอก ‘แทง’ เขาให้ตายตรงนี้เป็นพอ
พริบตาที่ทหารม้าทมิฬรุก เสียงกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“รอก่อน นายน้อยฉินมีคำสั่ง คุมตัวเว่ยเซียว”
ทหารม้าทมิฬพลันหยุดชะงัก แม้ว่าปลายหอกยังคงเล็งไปที่เว่ยเซียว ทว่าก็มิได้โจมตีอีก
เว่ยเซียวปรายตามองจ้าวอวี้หลง ยิ้มเย็นพลางเอ่ย “คุมตัวข้ารึ พวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไป หรือฉินเฟิงไร้เดียงสาเกินไปกันแน่”
“นักฆ่าแห่งสมาคมรายนามสวรรค์มิมีทางยอมให้ผู้ใดจับเป็น”
เมื่อฟังคำดูแคลนของเว่ยเซียว จ้าวอวี้หลงกลับมีสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ “เจ้าลองดูก็ได้”
เว่ยเซียวเก็บคันธนู ดึงมีดสั้นออกจากสายคาดเอว ปลายเท้าออกแรง ปราดออกไปอย่างว่องไวประหนึ่งวิญญาณ พริบตาเดียวก็ประชิดตัวจ้าวอวี้หลงแล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ