บทที่ 412 ให้ห่าศรโหมกระหน่ำสักพัก
จ้าวอวี้หลงรู้ว่าตนเองกล้าหาญและไม่เคยถ่อมตัวจนเกินความจำเป็น แต่มุมมองของเขาเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางทหารนั้นด้อยกว่าฉินเฟิงมาก การเดินทางยังอำเภอผิงหนานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการเรียนรู้และฝึกฝน
“พี่ฉิน ยามนี้เกิดความขัดแย้งในเมืองแล้ว ไยไม่ถือโอกาสส่งกองทหาร โจมตีก่อนที่พวกมันจะเตรียมพร้อมเล่า?”
ยามนี้ฉินเฟิงกำลังนั่งบนหลังอาชา ถือสายบังเหียน มองดูคนที่เคลื่อนไหวบนกำแพงเมือง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “จะรีบร้อนไปไย ปล่อยให้กระสุนโหมกระหน่ำสักพักเถอะ”
“กระสุน? มันคืออะไร?” ดวงตาของจ้าวอวี้หลงเผยให้เห็น ‘ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้’
เมื่อตระหนักว่าพูดผิด ฉินเฟิงจึงเปลี่ยนคำพูดโดยไม่อธิบาย “ให้ห่าศรโหมกระหน่ำสักพัก”
จ้าวอวี้หลงยังคงไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดของนายน้อยฉิน แต่เมื่อมองดูท่าทางสงบนิ่งของชายหนุ่ม เขาก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะโจมตีเมือง จึงหยุดพูดและรออย่างเงียบ ๆ
คนที่สับสนไม่ได้มีเพียงจ้าวอวี้หลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแม่ทัพในบังคับบัญชาของแม่ทัพรถม้าศึกด้วย
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงใช้ไม้แข็งแสดงอำนาจ ระดมกองกำลังของแม่ทัพรถม้าศึกจำนวนมากมาเพื่อโจมตีอำเภอผิงหนาน ไฉนตอนนี้เขาจึงไม่รีบร้อนแล้วเล่า
และในตอนที่ทุกคนกำลังสับสนนั้นเอง ตัวละครอื่นที่ฉินเฟิงจัดเตรียมไว้เมื่อคืนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กองทหารม้าทมิฬสองนายกำลังคุ้มกันชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นคหบดีเดินตรงไปที่ประตูเมือง
กองทหารม้าทมิฬคนหนึ่งคว้าหลังคอของชายคนนั้นไว้ ในขณะที่ทหารอีกคนถือมีดสั้น พลางตะโกนด้วยความโกรธ “คนทรยศ กล้าส่งข่าวให้เป่ยตี๋จะต้องถูกตัดหัว!”
ชายคนนั้นตกใจมากจนแทบสิ้นชีวิต เขาตะโกนเสียงดัง “นายท่านไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากหวงเฉิง หวงเฉิงบอกแล้วว่าตราบใดที่ข้าช่วยเขาส่งข่าวสารให้กับเป่ยตี๋ เขาจะให้ข้าสองพันตำลึงทอง ใช้อำเภอผิงหนานที่ถูกตีแตก แลกกับการที่ทัพซางกานโจมตีอำเภอเป่ยซี”
ดวงตาของกองทหารม้าทมิฬเบิกกว้างอย่างดุดัน “ให้ตายเถอะ! หวงเฉิงอยู่ในเมือง เขาไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือจะรอดรึ?”
ใบหน้าของชายคนนั้นซีดลง ตัวของเขาสั่นเทา และคร่ำครวญอย่างหมดหนทาง “แม้ว่าจะให้ข้ายืมร้อยความกล้าก็ไม่กล้าหลอกลวงท่าน ภรรยาและบุตรของหวงเฉิงย้ายไปที่เป่ยตี๋แล้ว ฮ่องเต้เป่ยตี๋สัญญาว่าจะให้ครอบครัวเขาได้มีความมั่งคั่งรุ่งโรจน์ชั่วชีวิต หนึ่งชีวิตของหวงเฉิงแลกความรุ่งโรจน์ของตระกูล นับว่าสมเหตุสมผล”
กองทหารม้าทมิฬตะโกนถาม “แล้วทหารรักษาการณ์กว่าหมื่นนายในเมืองจะทำอย่างไร?”
ชายคนนั้นร้องไห้อ้อนวอน “คนไร้ค่าเหล่านั้นจะเป็นหรือตายก็หาได้สำคัญไม่ พวกเขาล้วนเป็นหินเหยียบเท้าให้ตระกูลหวงปีนขึ้นฟ้า หากไม่เชื่อก็รอจนกว่าเมืองจะถูกตีแตก เมื่อจับกุมหวงเฉิงได้แล้วก็ถามเขาดูเถิด ถ้าข้าน้อยพูดเท็จ ขอให้ต้องทัณฑ์สวรรค์ ถูกอสนีฟาดตาย”
กองทหารม้าทมิฬจิกผมของชายคนนั้นแล้วดึงขึ้น “ได้! รอเรายึดเมืองและจับหวงเฉิงทั้งเป็นได้ก่อน เราจะให้เจ้าสองคนเผชิญหน้ากันอย่างแน่นอน!”
สิ้นคำ ทหารม้าทมิฬสองนายก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า ใช้เชือกลากชายคนนั้นออกไป ทันใดนั้นทั่วทั้งอำเภอผิงหนานก็เหมือนจะสะท้อนไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
ครั้นพ้นสายตาทหารรักษาการ์ประจำเมืองแล้ว ทหารม้าทมิฬสองนายก็ดึงสายบังเหียน รีบหยุดม้าอย่างรวดเร็ว เขาพลิกร่างลงจากหลังม้า ช่วยพยุงชายที่ร่างกายเปื้อนไปด้วยฝุ่นให้ลุกขึ้น
“พี่ชาย เป็นอย่างไรบ้าง?”
ยามนี้ร่างกายของชายวัยกลางคนปกคลุมไปด้วยเลือดและฝุ่น แต่เขากลับโบกมืออย่างองอาจ “แค่แผลเล็ก ๆ จะกังวลไปทำไม ถ้าสามารถทำให้แผนการของนายน้อยสำเร็จ อย่าว่าแต่แผลถลอกแค่นี้เลย ต่อให้ต้องตัดหัวก็ย่อมได้ นี่แค่แผลใหญ่เท่าปากชาม!”
ไม่นานนัก ม้าศึกตัวหนึ่งก็วิ่งมาทางนี้พร้อมชุดเกราะหนัก ชายผู้นั้นแต่งตัวเรียบร้อยและกลับค่ายไปพร้อมกับทหารม้าทมิฬอีกสองนาย
หลังจากรู้กลยุทธ์ทุกข์กายของฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยอก “มันไม่ดูปลอมเกินไปหน่อยหรือ?”
ฉินเฟิงมีรอยยิ้มร้ายกาจบนใบหน้า เอ่ยแผนการร้ายออกมา “ปลอมแล้วอย่างไร ตอนนี้เมืองนี้แทบจะเละเป็นโจ๊กแล้ว ข่าวลือกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จริงหรือเท็จผู้ใดจะแยกแยะได้? ตราบใดที่มีข่าวลือว่าหวงเฉิงทรยศต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแพร่กระจายออกไป เรื่องที่เหลือก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรา”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ