บทที่ 413 ยืมทหารรบ
เรือนหลังศาลาว่าการอำเภอเป่ยซี แม่ทัพรถม้าศึกกำลังเดินเอามือไพล่หลังไปมาในเรือน ในที่สุดก็เห็นผู้ส่งสารของตนเองมารายงานจึงรีบก้าวเข้าไป
“สงครามในอำเภอผิงหนานเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อพิจารณาจากเวลาแล้ว การต่อสู้คงจะใกล้เริ่มต้นเต็มที แม่ทัพรถม้าศึกเกรงว่าการปิดล้อมจะรุนแรง เปลืองกำลังทหารของเขา
ผู้ส่งสารมีสีหน้าแปลก ๆ “ราย… รายงานท่านแม่ทัพ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ประตูเมืองแตกแล้วขอรับ”
ทันทีที่สิ้นประโยค แม่ทัพรถม้าศึกก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง อดไม่ได้ที่จะอุทาน “อะไรนะ จบแล้วรึ?”
การต่อสู้เริ่มต้นยามเที่ยง บัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงสี่ชั่วยาม ฉินเฟิงกลับยึดอำเภอผิงหนานได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร!
ตลอดชีวิตนี้ แม่ทัพรถม้าศึกได้เห็นการต่อสู้อันโหดร้ายมาหลายครั้ง แม้จะรวบรวมกองกำลังที่เหนือกว่าโจมตีเมืองที่ถูกล้อม นั่นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืน ท้ายที่สุดแล้วนอกเหนือจากการโจมตีกำแพงเมืองก็ยังต้องจัดการกับความรุนแรงบนท้องถนน แต่ฉินเฟิงใช้เวลาเพียงสี่ชั่วยามในการบุกผ่านประตูเมือง ยึดอำเภอผิงหนานหรือ?
เรื่องนี้ไม่ต่างจากการปรับเปลี่ยนมุมมองของแม่ทัพเช่นเขาเลย
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉินเฟิงบุกเข้าไปในค่ายของเขาโดยตรง ข่มอำนาจด้วยไม้แข็ง แม่ทัพเฒ่าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ฮ่องเต้ส่งฉินเฟิงมาเพื่อปราบกบฏ แน่นอนว่าพระองค์ต้องเชื่อใจเจ้านั่น ยึดเมืองได้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วฉินเฟิงผู้นั้นก็มีกลอุบายมากนัก”
สิ่งที่แม่ทัพรถม้าศึกใส่ใจมากที่สุดไม่ใช่ความเป็นตายของอำเภอผิงหนาน แต่เป็นกองทัพภายใต้การบังคับบัญชาของเขา “กองกำลังเสียหายไปเท่าไหร่? มีหัวหน้ากองทหารคนใดพลีชีพในสนามรบหรือไม่?”
ผู้ส่งสารลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “ตอบ… ตอบท่านแม่ทัพ ทหารทั้งหมดตั้งแต่ทหารชั้นผู้น้อยไปจนถึงแม่ทัพ มีผู้พลีชีพทั้งหมดสามนายขอรับ”
“และทั้งสามนายล้วนถูกฝูงชนทุบตีจนตายตอนเข้าไปในเมือง”
แม่ทัพรถม้าศึกตกตะลึง จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อยู่ครู่ใหญ่
ผู้ส่งสารก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาส่งรายงานทางทหารมาครึ่งชีวิตแล้ว ไหนเลยจะเคยส่งข่าวทางทหารที่น่าทึ่งเช่นนี้มาก่อน?
“ท่านแม่ทัพ ฉินเฟิง… บรรยายถึงการปราบกบฏในอำเภอผิงหนานว่าเป็นเสมือน… เสมือนการรีดนมวัว เดิมทีแล้วหากไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากหลายฝ่าย เขาเองก็คร้านเกินกว่าจะเดินทางมาชายแดนเหนือด้วยตนเอง ด้วยแค่ส่งสวีโม่หรืออู๋เว่ยมาก็สามารถกวาดล้างทัพกบฏที่อำเภอผิงหนานได้แล้ว”
การรีดนมวัว…
แม่ทัพรถม้าศึกราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าเข้าใจแล้ว ฉินเฟิงระดมกองทัพของข้าไม่ใช่เพื่อโจมตีเมือง แต่เพื่อปิดล้อมอำเภอสร้างแรงกดดันจากหลายฝ่าย ก่อให้เกิดความขัดแย้งในเมือง ก่อนที่ฉินเฟิงจะมา เขาคงตรวจสอบรายงานทางทหารของกรมกลาโหม รู้ว่ากองทหารของทุกฝ่ายยังไม่มีข้อสงสัยว่าจะกบฏ จึงคาดได้ว่ากองทัพของหวงเฉิงมีเพียงชาวบ้านและกองโจรที่ไม่มีคุณสมบัติในการสู้รบ”
“แค่ความกดดันจากกองทัพเพียงเล็กน้อย ขวัญกำลังใจของกองทหารในเมืองก็จวนพังทลายแล้ว จากนั้นพวกเขาก็แพร่ข่าวลือให้เกิดการกบฏ สุดท้ายก็สร้างช่องโหว่ให้กลุ่มกบฏหลบหนี ละทิ้งการต่อต้านที่สิ้นหวัง แล้วไปซุ่มโจมตีบนเส้นทางหลบหนี ทำลายล้างเป็นระลอก…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม่ทัพรถม้าศึกก็มองดูผู้ส่งสาร แววตาไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือชื่นชม “ถ้าข้าเดาถูก ประตูเมืองก็ไม่ได้ถูกตีเลยใช่หรือไม่?”
ผู้ส่งสารพยักหน้าพลางเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก “กุนซือของหวงเฉิงเห็นว่าสถานการณ์จบสิ้นแล้วจึงนำองครักษ์ส่วนตัวแปรพักตร์ก่อนรบ โจมตีและสังหารหวงเฉิง ตัดศีรษะส่งออกจากเมือง ยอมจำนนต่อหน้าฉินเฟิง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพรถม้าศึกก็ขมวดคิ้ว “ผลเป็นอย่างไร? เท่าที่ข้ารู้ฉินเฟิงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากที่สุด เพื่อสาวใช้นางหนึ่ง เขาโวยวายก่อปัญหาจนใต้หล้ามิอาจสงบสุข คราวนี้พวกกบฏยอมแพ้เองแล้วได้รับสิทธิพิเศษใดหรือไม่?”
ทหารผู้สั่งการกลืนน้ำลาย “ถูกสังหารสิ้นขอรับ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ