บทที่ 414 ชัยชนะต่อเนื่อง
เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างกะทันหันของกองทัพแม่ทัพรถม้าศึก กองทัพซางกานก็พุ่งเข้าต่อสู้ การโจมตีกำแพงกลายเป็นสนามรบที่ดุเดือดทันที
กองทัพแม่ทัพรถม้าศึกชุดแรกที่เข้าโจมตีล้วนเป็นทหารม้า สวมชุดเกราะหนัก ปะทะเข้ากับกองทัพซางกานบีบให้ขบวนทัพแตกออก
เมื่อเผชิญกับแรงโจมตีของทหารม้าที่หุ้มเกราะหนักหลายพันนาย กองทัพซางกานก็ได้รับความเสียหายหนักในการเผชิญหน้าครั้งแรก
แต่ภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการ กองทัพที่สับสนวุ่นวายก็ได้สงบลง และเริ่มเปิดฉากต่อสู้กับกองทัพแม่ทัพรถม้าอีกครา
การเร่งบุกเข้าสนามรบถือเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับทหารม้า เนื่องจากทันทีที่ล้มเหลวในการบุกตะลุย ย่อมจะตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและถูกปิดล้อมจากทุกด้าน
แม้ว่ากองกำลังปิดล้อมเมืองของกองทัพซางกานจะมีทหารราบเป็นหลัก แต่พวกเขาต่างก็มีอาวุธยาว หากเป็นการปะทะซึ่ง ๆ หน้า ย่อมไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันกองทหารม้าซางกานก็เริ่มรุกขนาบข้างจากปีกสองฝั่ง เตรียมกลืนกินทหารม้าของศัตรู
ทว่าตอนที่ทหารม้าสังกัดแม่ทัพรถม้าศึกถูกโจมตีจากทุกด้าน กองกำลังเสริมก็มาถึง แนวแรกคือพลธนูหลังม้าที่ยิงอย่างไม่เลือกหน้า ตามด้วยพลธนูราบที่ยิงต่อเนื่อง สุดท้ายเป็นทหารราบสวมชุดเกราะ ถืออาวุธยาว พวกเขาเริ่มเข้าโรมรันพันตูกับทหารม้ากองทัพซางกาน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายตึงเครียดอย่างยิ่ง
ผู้บัญชาการฝั่งเป่ยตี๋ออกคำสั่งต่อไปไม่หยุดด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
กุนซือที่อยู่ด้านข้างคอยเตือนว่า “ท่านแม่ทัพ! สถานการณ์ไม่ดีแล้ว ถอยเถิดขอรับ!”
ผู้บัญชาการฝั่งเป่ยตี๋ขบกราม “ไร้สาระ กองทัพของเรายังได้เปรียบ ในการรบภาคสนาม กองทัพต้าเหลียงไม่มีค่าอะไรเลย”
กุนซืออดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ “ดูจากขนาดแล้ว กองทัพของแม่ทัพรถม้าศึกมีกำลังพลสองถึงสามหมื่นนาย ยังไม่ได้รบก็เป็นการยากที่จะตัดสินผลแพ้ชนะ จุดประสงค์เชิงกลยุทธ์ของเราในการเดินทัพครั้งนี้คือการโจมตีอำเภอเป่ยซี หากกำลังพลสูญเปล่าอยู่ที่นี่ ต่อไปจะมีกำลังเหลือโจมตีเมืองได้อย่างไร”
“กองทัพแม่ทัพรถม้าศึกไม่ควรส่งกองกำลังมารบ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเสียแล้ว หากเราไม่ถอนตัวตอนนี้ ถ้าแม่ทัพทหารม้าและกองทหารชายแดนเข้ามาโจมตีขนาบข้าง กองทัพเราจะถูกล้อมและทำลายสิ้นนะขอรับ!”
ผู้บัญชาการทหารไม่เต็มใจที่จะถอนตัวไปเช่นนี้ นับตั้งแต่มาที่แนวหน้า เขาก็แพ้สงครามอยู่ร่ำไป หากกลับเมืองหลวงจะต้องถูกถามถึงความรับผิดชอบเป็นแน่
แต่…
กุนซือพูดถูก สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้กองทัพสังกัดแม่ทัพรถม้าศึกได้เข้าสู่แนวรบ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า แม่ทัพทหารม้าและกองทหารชายแดนจะไม่เข้าแทรกแซง ไม่ว่ากองทัพซางกานจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถเผชิญกับการปิดล้อมและการปราบปรามของสามกองทัพชายแดนเหนือ
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ผู้บังคับบัญชาก็ทำได้เพียงยอมแพ้ “ตีกลอง ถอย!”
กองทัพซางเชียนถอยทัพเป็นชุด โดยมีทหารราบและทหารขนยุทโธปกรณ์ถอยไปก่อน ทหารม้ารั้งท้าย หลังจากทหารราบถอยกลับไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย ทหารม้าซางกานที่โรมรันพันตูอยู่กับกองทัพแม่ทัพรถม้าศึกก็บุกฝ่าวงล้อมถอยออกจากสนามรบ
ในการรบครั้งนี้ กองทัพซางกานได้ทิ้งศพไว้สองพันศพนอกประตูอำเภอเป่ยซี ส่วนกองทัพที่บุกโจมตีในกำแพงเล็กรอบเมืองก่อนหน้านี้สภาพยิ่งเลวร้ายกว่า ทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยนายไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
ขณะที่กองทัพซางกานล่าถอยไป ทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพรถม้าศึกทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้อง
“นี่รึคือหนึ่งในกองกำลังหลักของเป่ยตี๋? แค่นี้น่ะหรือ?!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า กองทัพซางกานเป็นที่รู้จักในนามกองทัพอันแข็งแกร่งของเป่ยตี๋ไม่ใช่หรือ?”
“กองทัพแม่ทัพรถม้าศึกเกรียงไกร!”
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทหารทุกนาย แม่ทัพรถม้าศึกก็เดินออกจากประตูเมืองภายใต้การคุ้มกันของทหารค่ายเทียนจี
หัวหน้ากองทหารหลายนายรีบเข้ามาทักทาย
“ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านแม่ทัพ พวกข้าจะพาท่านกลับค่าย”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเหล่าทหาร ก็พอรู้ว่าพวกเขามีความยินดีเพราะการต่อสู้ในศึกครั้งนี้
ทว่าแม่ทัพรถม้าศึกกลับมีสีหน้ามืดมน เขามีความสุขไม่ออกจริง ๆ
เสียสละกองทัพใต้บังคัญบัญชา แลกกับความสงบของอำเภอเป่ยซี แม้ว่าจะชนะ แต่พี่น้องต่างก็เจ็บแค้น ศัตรูมีความสุข แม้แต่หลับฝัน ตอนนี้เจ้าฉินเฟิงก็คงหัวเราะจนตื่นได้
แต่เรื่องนี้จะตำหนิใครก็ไม่ได้ หากจะตำหนิก็ต้องตำหนิที่ตัวเขาประเมินความร้ายกาจของเจ้าเด็กนั่นต่ำไป!
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ