บทที่ 415 กลับเมืองหลวงในเจ็ดวัน
“รายงานท่านแม่ทัพ การรบในแนวหน้าล้มเหลวขอรับ”
“หวงเฉิงในอำเภอผิงหนานถูกกวาดล้างแล้ว กองทัพโจมตีที่อำเภอ ถูกกองทัพของแม่ทัพรถม้าศึกโจมตี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่าถอย”
เมื่อได้ยินข่าวร้ายจากแนวหน้า รองแม่ทัพที่ติดตามมาทุกนายต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตาของเฉินซือเฉยเมยราวกับว่าไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้
“ผู้บัญชาการกองทัพซางกานไม่เคยต่อสู้กับฉินเฟิงจึงไม่รู้ว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด ถอยออกมาก็ดี รักษากำลังรบเอาไว้ การต่อสู้ครั้งนี้ยังสามารถบุกต่อไปได้”
“ถ่ายทอดคำสั่งไปยังค่ายแนวหน้า ข้าจะไปที่ค่ายแนวหน้าเพื่อหารือกับผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการศึกครั้งต่อไป ไม่ต้องเร่งรีบโจมตีอำเภอเป่ยซี”
ด้วยเหตุนี้ขบวนรถจึงเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังค่ายแนวหน้า
เฉินซืออยู่บนรถม้า มองไปในทิศทางของอำเภอเป่ยซีด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “นายน้อยฉิน ข้าเฉินซือรอดชีวิตจากแผลร้าย ต่อไปเจ้าจักต้องเผชิญการศึกที่โหดร้ายบ้าง!”
ในเวลาเดียวกันนี้ฉินเฟิงก็ได้เริ่มเดินทางกลับสู่เมืองหลวงแล้ว
ตอนพวกเขาเร่งเดินทางมายังชายแดนเหนือ ยามนั้นมีเพียงฉินเฟิงและจิ่งเชียนอิ่งเท่านั้น ขากลับก็ยังมีแค่พวกเขาเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็มีเรื่องที่ทำใต้หล้าแตกตื่น ด้วยในคราวนี้ผู้ส่งสารเร่งเดินทางเร็วกว่าฉินเฟิงมากจึงกลับถึงเมืองหลวงก่อน
ในการประชุมราชสำนักที่เมืองหลวง หลายฝ่ายกำลังเปิดสงครามน้ำลายเกี่ยวกับเรื่องการศึกชายแดนเหนือ
ขุนนางกรมยุติธรรมตอกย้ำเสียงดัง “ฝ่าบาท นับตั้งแต่การกบฏในอำเภอผิงหนาน ยังไม่มีรายงานกองทัพมายังเมืองหลวง เราควรวางแผนเสียแต่ในเช้าวันนี้ ทันทีที่ฉินเฟิงปิดล้อมอำเภอผิงหนานล้มเหลว กองทัพซางกานจะต้องถือโอกาสยึดอำเภอเป่ยซีเป็นแน่ ถึงเวลานั้นชายแดนทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตราย! เพื่อประโยชน์ของสถานการณ์โดยรวม เราควรส่งแม่ทัพรถม้าศึกไปที่อำเภอเป่ยซีโดยเร็วเพื่อเร่งประสานการป้องกัน”
ทันทีที่สิ้นประโยค ใบหน้าของฉินเทียนหู่ก็บิดเบี้ยวน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
ส่งแม่ทัพรถม้าศึกไปที่อำเภอเป่ยซีเพื่อประสานงานการป้องกันหรือ?
ช่างพูดได้ไพเราะเสียยิ่งกว่าร้องเพลง! ทันทีที่แม่ทัพรถม้าศึกประจำการในอำเภอเป่ยซี อำเภอเป่ยซีจะไม่มีแซ่ฉินอีกต่อไป สิ่งที่ฉินเฟิงทุ่มเททำงานหนักจะตกไปเป็นของผู้อื่น
“ชายแดนทางเหนืออยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายพันลี้ นับตั้งแต่ฉินเฟิงออกจากเมืองหลวงก็แค่เจ็ดวัน แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวในชายแดนทางเหนือ ผู้ส่งสารก็ไม่สามารถกลับมารายงานเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้น อีกทั้งตอนฉินเฟิงเขียนหนังสือสัญญาทางทหารคือขอเวลาสิบวัน ตอนนี้ยังไม่ครบกำหนด จะรีบเร่งอันใดเล่า?”
ขุนนางกรมยุติธรรมแค่นเสียงในลำคอ แสดงท่าทีแข็งกร้าว “ในสนามรบ สถานการณ์แปรเปลี่ยนรวดเร็ว หากประตูเมืองเป่ยซีถูกรุกล้ำจะไม่สายไปแล้วหรือ? ไม่มีใครบอกว่าไม่ไว้วางใจฉินเฟิง เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยจึงควรเตรียมแผนสำรองไว้แต่เนิ่น ๆ ก็เท่านั้น”
ผู้ดูแลสำนักศึกษาหลวงก้าวมาข้างหน้า ยกมือคารวะพลางกล่าว “เรื่องนี้ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินพระทัย”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่ตรัสสิ่งใด เพียงทอดพระเนตรมองการทะเลาะกันระหว่างบรรดาขุนนาง เวลานี้เขารู้สึกเหนื่อยใจอยู่เล็กน้อย
แม้ว่าขุนนางกรมยุติธรรมจะกล่าวเช่นนี้เพื่อทำร้ายฉินเฟิงแต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ท้ายที่สุดแล้วอำเภอเป่ยซีก็เป็นเมืองชายแดนสำคัญ หากพังทลายลง ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดคิด
แต่…
จะให้แม่ทัพรถม้าศึกเข้าประจำการที่อำเภอเป่ยซีรึ? อย่าแม้แต่จะคิด!
ตาเฒ่านั่นไม่เชื่อฟังคำสั่งทางทหารอีกต่อไปแล้ว หากเมืองชายแดนที่สำคัญเช่นอำเภอเป่ยซีถูกควบคุมโดยแม่ทัพรถม้าศึก ฮ่องเต้ต้าเหลียงจะไม่มีวันสงบจิตใจได้
ไม่ใช่ว่าไม่สามารถส่งกองทหารไปยังอำเภอเป่ยซีได้ แต่คำถามคือควรจะส่งใครไปต่างหาก?
ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่สามารถไว้วางใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากทั้งสามฝ่ายอย่างแม่ทัพรถม้าศึก แม่ทัพทหารม้า และกองทหารชายแดน กองกำลังที่พอจะเชื่อใจได้ก็คือกองทัพฝ่ายฮ่องเต้ แต่พวกเขาต้องประจำการที่จงหยวน ไม่อาจโยกย้ายสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นตระกูลผู้ดีทางตอนใต้จักต้องฉวยโอกาสสร้างปัญหา เกรงว่าจะสูญเสียมากเกินจำเป็น
และในตอนที่ฮ่องเต้ต้าเหลียงกำลังกังวลใจนี้เอง พลันก็มีรายงานจากขันทีน้อยนอกประตู
“กราบทูลฝ่าบาท รายงานทหารชายแดนเหนือมาถึงเมืองหลวงแล้ว หัวหน้ากรมกลาโหมขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นประโยค สติของขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วท้องพระโรงพลันตึงเครียด
ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ให้หัวหน้ากรมกลาโหมเข้ามา”
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน หัวหน้ากรมกลาโหมก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่าลงถวายความเคารพ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กราบทูลฝ่าบาท รายงานกองทหารชายแดนเหนือมาถึงเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ