บทที่ 417 เสือขวางทาง
สามชั่วยามก่อน ฉินเฟิงและจิ่งเชียนอิ่งแวะพักที่จุดพักม้า ครั้นบังเอิญเจอชายชราขับเกวียนผ่านมา จึงไม่ยอมขี่ม้าอีก
การขี่อาชาสูงใหญ่แลดูองอาจ ทว่าพอนานเข้าก็ประหนึ่งการทารุณกรรม
จิ่งเชียนอิ่งต้านคำวิงวอน และการ… เกลือกกลิ้งโหยหวนของฉินเฟิงมิได้ นางจึงได้แต่ยอมขายม้าที่ขี่มาในราคาตัวละห้าสิบตำลึงเงิน ซึ่งนับว่าราคาต่ำนัก แล้วพานายน้อยฉินขึ้นเกวียน
ชายชรากับฉินเฟิงมิได้ไปทางเดียวกัน ต้องยัดเงินไปสองร้อยอีแปะถึงยอมตกลงพาฉินเฟิงมาส่งที่อำเภอฝูอวิ้น
“นายน้อย ด้านหน้าก็คืออำเภอฝูอวิ้น” ชายชราขับเกวียนไปพลาง ตะโกนบอกไปพลาง
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินเฟิงก็ครวญครางอย่างอดมิได้ หันไปมองจิ่งเชียนอิ่ง “พี่หญิงสี่ จากอำเภอฝูอวิ้นไปยังเมืองหลวงต้องเดินทางอีกสองสามชั่วยาม มิสู้พวกเรานั่งเกวียนเข้าเมืองหลวงเถิด เกวียนนี่สบายจนข้ามิอยากลุกอีกแล้ว”
จิ่งเชียนอิ่งจนปัญญากับฉินเฟิง ได้แต่หันไปมองชายชรา “ท่านผู้เฒ่า รบกวนท่านไปส่งพวกเราอีกหน่อยได้หรือไม่”
เอ่ยจบ จิ่งเชียนอิ่งก็ยื่นเงินให้อีกก้อนหนึ่ง
แม้เป็นเพียงเศษเงินไม่ถึงหนึ่งตำลึง…
ทว่าชายชราอยู่มาหลายสิบปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเงินมากเพียงนี้ เขาได้แต่ตกตะลึงกับความโชคดี อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองทางอำเภอฝูอวิ้น เขาก็ลังเลขึ้นมา
“แม่นาง มิใช่เรื่องเงิน”
“ท่านทั้งสองดูก็รู้ว่ามีเมตตา หากแต่ไปที่อื่น ต่อให้ต้องไปส่งพวกเจ้าโดยไม่ได้สิ่งตอบแทนก็มิเป็นไร ทว่าหลังข้ามอำเภอฝูอวิ้นเป็นอาณาเขตเมืองหลวง หากถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนจับได้คงต้องถูกเล่นงานจนอ่วม”
ฉินเฟิงเข้าใจความจำเป็นของชายชรา ถึงอย่างไรประชาราษฎร์ในแต่ละเมืองก็ถูกห้ามมิให้ข้ามเขตโดนพลการ โดยเฉพาะเขตเมืองหลวง จำต้องเสียเงินห้าสิบอีแปะเพื่อทำหนังสือผ่านด่านที่ศาลาว่าการอำเภอ หากถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนจับได้และมิมีหนังสือผ่านด่าน จักถูกลงโทษข้อหา ‘ปองร้าย’ โทษสถานเบาคือถูกขับไล่ สถานหนักคือถูกอัดจนอ่วม ผู้ที่ถูกจับขังคุกก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อนึกได้ว่าก้นของตนเองถูกับอานม้าจนจะด้านหมดแล้ว ฉินเฟิงก็โอดครวญยกใหญ่
เกลือกกลิ้งไปมาบนกองหญ้า อย่างไรก็มิยอมลงจากเกวียน
“หากให้ข้าขี่ม้า ข้าจะไม่ไป แล้วนอนอยู่กับพื้นเช่นนี้แหละ เว้นเสียแต่ไปจ้างเกี้ยวจากเมืองหลวงมา”
เมื่อเห็นท่าทางอาละวาดของฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่งทั้งโกรธทั้งขำ
หากมิเห็นกับตา ผู้ใดเล่าจะเชื่อมโยงเด็กบ้าดื้อดึงผู้นี้กับทูตปราบกบฏพิเศษที่ชื่อก้องไปทั่วชายแดนทางเหนือผู้นั้น
จิ่งเชียนอิ่งจนใจกับน้องชาย นางได้แต่บอกกับชายชราว่า “ท่านเดินหน้าเข้าไปได้เลย มิมีผู้ใดกล้าขวางท่านหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็รู้สึกว้าวุ่น
ลอบตำหนิตนเองว่ามิควรใจดีตกปากรับคำชายหญิงคู่นี้ บัดนี้สิดี ถูกเกาะติดเสียแล้ว
จากบทสนทนาของทั้งคู่ระหว่างทาง ชายชราพอจับใจความได้ว่าทั้งสองมาจากชายแดนทางเหนือ ต่อให้แต่งกายมีฐานะ กระนั้นอย่างมากก็คงเป็นเพียงคหบดีชนบทจากพื้นที่แรมร้างห่างไกล หากเข้าเมืองหลวงยังบังอาจกำแหง นั่นมิเท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
“เฮ้อ!”
ชายชราถอนหายใจ นอกจากตำหนิตนเองว่าโชคร้ายแล้วก็มิมีหนทางอื่นอีก เขาได้แต่ขับเกวียนมุ่งหน้าต่อไป
สุดท้ายกลัวสิ่งใดมักเจอสิ่งนั้น เดินทางต่อไปได้มิไกล เจ้าหน้าที่สามสี่คนที่ซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้าก็กรูกันเข้ามา
“ทำอะไรกัน!”
“มาจากที่ใด”
“มีหนังสือผ่านด่านหรือไม่!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ