บทที่ 419 ผู้คนล้นหลาม
ผู้ช่วยเหลือชาวบ้าน? นี่มันเกินจริงไปแล้ว!
ฉินเฟิงช่วยผยุงชายชราลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ตบฝุ่นออกจากเข่าของชายเฒ่าเบา ๆ แล้วฉีกยิ้ม “ท่านแก่มากแล้ว ข้ารับการคารวะของท่านมิได้ ส่วนเรื่องผู้ช่วยเหลือชาวบ้านอันใดนั้น ยิ่งไร้สาระไปใหญ่ ท่านลุกขึ้นเถิด มาบังคับเกวียนต่อ เกวียนวัวของท่านนั่งสบายนัก”
ชายชรารู้สึกยินดี พยักหน้ารัวแล้วปีนขึ้นไปบนเกวียนอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงและจิ่งเชียนอิ่งเองก็ขึ้นเกวียนตามไปเช่นกัน
เมื่อผ่านผู้ช่วยเสนาบดีกรมกลาโหม เขาก็ถามขึ้นว่า “นายน้อย ฮ่องเต้รับสั่งให้พวกข้ามารับท่าน ไยไม่ขึ้นรถม้าของพวกข้าไปล่ะขอรับ?”
ฉินเฟิงนอนลงบนกองฟางแล้วโบกมือ “ไม่จำเป็น ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้า ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น ไปทำธุระของตัวเองเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”
ผู้ช่วยเสนาบดีทั้งสามมองหน้ากัน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำกลุ่มขบวนคน ติดตามเกวียนวัวด้านหลังไปเงียบ ๆ
ในเวลาเดียวกัน นายอำเภอฝูอวิ้นก็วิ่งปรี่ไปที่เกวียนวัว ยัดแท่งเงินสองแท่งเข้าไปในมือของชายชรารวมเป็นยี่สิบตำลึงเงิน
“ส่งนายน้อยฉินกลับเมืองหลวง ลำบากท่านแล้ว”
ผู้เฒ่าไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน รู้สึกว่าแท่งเงินก้อนใหญ่ร้อนลวกมือยิ่ง เขาตอบอย่างดีใจปนขลาดกลัว “มิกล้า ๆ ได้ส่งนายน้อยฉิน ถือเป็นโชคของข้าแล้ว”
นายอำเภอฝูอวิ้นจ้องมองชายชรา “ข้าให้ท่านก็รับไปเถอะ อย่าพูดมาก! จบเรื่องแล้ว ข้าจะให้เจ้าหน้าที่พาท่านกลับบ้าน”
จิ่งเชียนอิ่งที่อยู่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย “รับไปเถอะ กลับเมืองหลวงครานี้ไม่ใช่ทางผ่านของท่าน ท่านเองก็อายุมากแล้ว ถือเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนัก”
ชายชราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับแท่งเงินมา ได้แต่คิดว่าวันนี้ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษแล้ว*[1] อย่าว่าแต่ส่งนายน้อยฉินกลับเมืองหลวงเลย แค่ได้รับแท่งเงินที่มายี่สิบตำลึงนี้ก็เพียงพอให้ทั้งครอบครัวใช้ได้นานกว่าสิบปีทีเดียว
ครู่หนึ่งชายชราอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น ไม่เคยภาคภูมิใจขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ยามสนธยา ทิวทัศน์ของเมืองเมืองหลวงค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตา
เมื่อมองดูเมืองหลวงที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเฟิงก็ยืดตัวไปมา คิดว่าในที่สุดเขาก็ถึงบ้านแล้วจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที แต่ทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น
นายน้อยเจ้าสำราญขมวดคิ้ว มองหาที่มาของเสียง ก่อนจะเห็นว่าบนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยผู้คน
ทหารรักษาการณ์อัดแน่นอยู่บนกำแพงเมืองและใต้กำแพงเมืองก็มีชาวบ้านมากมาย
“ดูสิ! นายน้อยฉินกลับมาแล้ว!”
เสียงโห่ร้องยินดีดังทั่วบริเวณ ทั้งเมืองหลวงแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ทั้งชาวบ้านและทหารรักษาการณ์ต่างก็ตื่นเต้นจนหูแดงหน้าแดงไปหมด พวกเขาล้วนจับจ้องไปยังฉินเฟิงที่นอนบนกองฟาง
“เป็นนายน้อยฉินจริง ๆ เยี่ยมมาก! เมื่อเจ็ดวันก่อน ข้าคิดว่าการเดินทางของนายน้อยฉินจะร้ายมากกว่าดีเสียแล้ว ใครจะคิดว่าการกบฏที่ชายแดนเหนือจะสงบเร็วขนาดนี้ นายน้อยฉินเป็นผู้นำทัพอันดับหนึ่งในต้าเหลียงของเราจริง ๆ”
“ใครว่าแค่นี้เล่า แค่กบฏเล็ก ๆ อย่างหวงเฉิงไยจะต้องให้นายน้อยฉินไปด้วยตัวเอง? นายน้อยฉินไปชาวแดนเหนือครานี้เพื่อต่อสู้กับกองทัพซางกานของเป่ยตี๋”
“หยุดตะโกนได้แล้ว พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ที่พวกเจ้ารู้ก็แค่ข่าวซุบซิบ”
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าทำงานในกรมกลาโหม ว่ากันว่าก่อนที่นายน้อยฉินจะออกจากเมืองหลวง เขาได้เขียนสัญญาทหารว่าจะปราบกบฏหวงเฉิงภายในสิบวัน เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากไม่รวมเวลาไปกลับก็นับว่ามีเวลาแค่สี่วันในการปราบโจรกบฏ แต่ปรากฏว่านายน้อยฉินกลับเมืองหลวงในวันที่เจ็ด แสดงว่านายน้อยฉินใช้เวลาปราบกบฏหวงเฉิงเพียงวันเดียวเท่านั้น! ส่วนกองทัพซางกานที่ร่วมมือกับหวงเฉิง ต้องการใช้โอกาสนี้โจมตีอำเภอเป่ยซี ลองเดาสิว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
ภายใต้การจ้องมองที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งของผู้คนรอบตัว ชายผู้รู้ข้อมูลวงในภาคภูมิใจ ศีรษะของเขาเชิดขึ้นสูง
“ท้ายที่สุด กองทัพซางกานไม่ทันได้เห็นนายน้อยฉินก็ถูกฆ่าตายหมด ต้องถอดชุดเกราะ วิ่งหนีเอาชีวิตรอด ฮะฮ่าฮ่า”
ทันทีที่สิ้นประโยค ที่แห่งนั้นก็ยิ่งตื่นเต้นตึกคักมากขึ้น
ชาวเมืองหลวงได้ยินข่าวทางเหนือมานับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่เป็นข่าวร้ายหรือสงครามที่ตึงเครียด ในใจพวกเขาต่างก็รู้สึกโกรธเคือง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ