บทที่ 425 พลิกวิกฤต
เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงเนตรอันเย็นชาของฮ่องเต้ต้าเหลียง องครักษ์ชุดดำก็ไม่กล้าชักช้า
“เมื่อคืนนี้ องครักษ์ชุดดำทั้งหมดที่ประจำการอยู่ใกล้ประตูเมืองหลวงและค่ายเทียนจีถูกสังหาร ตระกูลฉินปลอมตัวออกจากเมืองหลวง แม้จะถูกหน่วยลาดตระเวนค้นพบ แต่หน่วยลาดตระเวนไม่รู้เรื่องราว ย่อมไม่สกัดกั้น จากนั้นคนตระกูลฉินก็เข้าไปในค่ายเทียนจี ขนแผนภาพตำราและบัญชีทั้งหมดไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ทหารที่เหลือในค่ายเทียนจีก็ถูกย้ายออกไปหมดพ่ะย่ะค่ะ”
“ยามนี้ ในจวนตระกูลฉินหรือแม้แต่ค่ายเทียนจีก็เหลือแค่เปลือกเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน บรรยากาศทั้งห้องบรรทมเงียบสงัด
อย่าว่าแต่นางกำนัลและขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายเลย แม้แต่จางซิวเย่ก็ยังกลัวจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ฮ่องเต้ต้าเหลียงถึงค่อย ๆ หลับตา สูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงไม่มีความโกรธ มีเพียงความเหนื่อยล้ากว่าที่เคย
“ฉินเฟิงนะฉินเฟิง เจิ้นประเมินความกล้าหาญของเจ้าต่ำไป เจิ้นขยับแค่เพียงนิด เจ้าก็พร้อมทุบหม้อข้าวจมเรือเชียวหรือ?”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงรู้อยู่แล้วว่าการจัดการกับฉินเฟิง หากไม่ลงมือก็อย่าได้ทำอะไร แต่ถ้าจะลงมือก็ต้องทำให้เด็ดขาด
ทว่าแรงกดดันจากเป่ยตี๋ ไม่อาจทำให้เขาบีบคั้นฉินเฟิงได้ตามใจชอบ ยังคงต้องเหลือทางรอดให้อีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ทางรอดนั้นกลับทำให้เกิดหายนะ
ฮ่องเต้ต้าเหลียงถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “ได้ส่งกองกำลังไล่ล่าหรือไหม?”
องครักษ์ชุดดำไม่กล้าลังเล รีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “ผู้ส่งสารทุกคนที่ส่งออกไปจากเมืองหลวง สิบสามคนถูกสกัดกั้นและสังหาร เมื่อกระหม่อมทราบก็ได้นำกำลังคนไปค่ายทหารรักษาการณ์เพื่อระดมกำลังด้วยตัวเอง ทหารม้าเกราะเบาแปดร้อยนายไล่ตามพวกเขาไปแล้ว แต่… ทันทีที่ไปถึงอำเภอฝูอวิ้นก็ถูกผู้ติดตามของหมิงอ๋องขัดขวาง เกิดการต่อสู้อันดุเดือด แม้ผู้ขวางทางจะถูกสังหารหมด แต่โอกาสที่ดีสำหรับการไล่ล่าก็ถูกพรากไป”
เมื่อได้รู้ว่าหมิงอ๋องถูกพาตัวไปอำเภอเป่ยซีด้วย พระพักตร์ของฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ไร้อารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่สะสมมานานกว่าสิบปีได้ระเบิดออกมาในเวลานี้
ร่างกายฮ่องเต้ต้าเหลียงโอนเอนไปมา จากนั้นนั่งลงบนเตียง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ “เจ้าบอกเจิ้นมาสิว่าสามารถสกัดกั้นคนกลับมาได้หรือไม่”
องครักษ์ชุดดำก้มศีรษะลง เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่อาจส่งกองทัพใหญ่เข้าสกัดกั้น ได้แต่ส่งทหารม้าเกราะเบากลุ่มเล็กไป เกรงว่าจะถูกฆ่าก่อนที่จะไล่ตามขบวนรถได้ทันเพราะจิ่งเชียนอิ่งและทหารค่ายเทียนจีคุ้มกันไปตลอดทางพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉินเฟิงวางแผนเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เขาไปอำเภอเป่ยซีครั้งแรก อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่พาฮูหยินฉินกับหลี่เซียวหลานกลับมา แต่ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ จากนั้นชายหนุ่มก็ส่งคนไปเป่ยซีหลายครั้ง อ้างว่าเพื่อต่อต้านเป่ยตี๋ มิหนำซ้ำคนที่ส่งไปล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้น ช่วงนี้เขาก็ใช้ข้ออ้างว่าดูแลกิจการร้านค้าตระกูลฉิน ส่งเสิ่นชิงฉือกับสาวใช้ชูเฟิงไปยังเจียงหนาน”
“ข้าเกรงว่าภายในไม่กี่วัน เสิ่นชิงฉือก็จะได้รับข่าว ปิดกิจการแล้วย้ายไปอำเภอเป่ยซี”
“ตราบใดฉินเฟิงมีความคิดจะหลบหนีก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดเขา”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะต้องไม่รีบร้อนจัดการกับฉินเฟิงเกินไป
แต่เมื่อเห็นอำนาจบารมีของนายน้อยเจ้าสำราญเพิ่มขึ้น พระองค์ก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ ตอนนี้การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวส่งผลกระทบไปหมด บีบบังคับให้ฉินเฟิงต้องพาคนในครอบครัวหนีออกไป จะตำหนิผู้ใดมิได้ นอกเสียจากตัวเอง
ฮ่องเต้ต้าเหลียงต้องการทำให้ฉินเฟิงเป็นอย่างเกาหมิงมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายดันกลายเป็นไท่เป่าหลินไปเสียแล้ว
จางซิวเย่ที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “การเคลื่อนไหวของฉินเฟิงแตกต่างจากการกบฏอย่างไร ฝ่าบาทได้โปรดออกพระราชโองการให้จับฉินเฟิงและฉินเทียนหู่เข้าคุกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงเดิมต้องการดุด่าแต่กลับไร้กำลังเหลือ จึงเพียงแค่โบกพระหัตถ์ “ลงมือกับพ่อลูกตระกูลฉิน นั่นมิใช่ว่าบังคับให้อำเภอเป่ยซีก่อกบฏหรือ? ทหารและผู้คนในอำเภอเป่ยซีมีความภักดีต่อฉินเฟิง แม้แต่เจิ้นก็ยังอิจฉา อีกทั้งอำเภอเป่ยซียังมีความเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของแคว้น ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแตะต้องพ่อลูกตระกูลฉินได้”
“ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจิ้นต่อสู้กับพวกไท่เป่าหลินและตระกูลผู้ดีทางเจียงหนาน ไม่มีกำลังเหลือพอจะจัดการกับฉินเฟิงแล้ว”
“เขายังเด็กแต่รับมือได้ยากกว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักเสียอีก”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ