บทที่ 43 วันคล้ายวันพระราชสมภพจี้อ๋อง
หลิ่วหงเหยียนมองฉินเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็รู้สึกทั้งโมโหทั้งขันในคราวเดียวกัน
ในฐานะคุณหนูรองตระกูลฉิน นางอาจจะไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ล้วนต้องผ่านเข้าหูนางก่อนใคร คุณหนูรองตระกูลฉินรู้เรื่องที่น้องชายตัวดีซื้อหอสุราแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่ครุ่นคิดจนดึกเกินไป นางคงจะมาจัดการฉินเฟิงตั้งแต่เมื่อวาน
“เจ้าตัวแสบ สามวันไม่ตีก็ซนจนปีนหลังคาเราะกระเบื้อง*[1]! เมื่อวานไปก่อเรื่องอะไรไว้? ตอบมาเสียดี ๆ ไม่เช่นนั้น วันนี้ข้าจะหักขาเจ้าทิ้งเสีย!” หลิ่วหงเหยียนวางมือลงบนสะโพกตน วางท่าทางดุร้ายราวกับแม่เสือ
ฉินเฟิงคาดไว้แล้วว่า เขาไม่มีทางปกปิดหลิ่วหงเหยียนเรื่องซื้อหอสุราได้ เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะรู้เรื่องเร็วเพียงนี้ แล้วยังจะหักขากันอีก? นี่มันรุนแรงเกินไปแล้ว!
นายน้อยฉินซ่อนตัวอยู่บนเตียง แนบร่างชิดกับมุมกำแพง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมลงจากเตียงง่าย ๆ “เมื่อวานข้าไปหอวิจิตรศิลป์ พี่หญิงใหญ่ไม่ได้บอกท่านหรือ?”
แน่นอนว่า หลิ่วหงเหยียนย่อมรู้เรื่องที่หอวิจิตรศิลป์ด้วยเช่นกัน บทกวี ‘เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน’ นั้นน่าทึ่งมาก ไม่เพียงแต่เกลี้ยกล่อมฉีหยางจวิ้นจู่ให้สำราญใจได้เท่านั้น แต่ยังช่วยยกย่องเสิ่นชิงฉือให้สูงเทียมฟ้าอีกด้วย
ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็กล่าวว่า ตำแหน่งสตรีและบุรุษผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งล้วนถูกตระกูลฉินยึดครอง
ว่ากันว่า…
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ทรงทราบเรื่อง วันนี้ตอนท่านพ่อเข้าเฝ้าช่วงเช้า ฝ่าบาทถึงกับตรัสต่อเสนาบดีคนอื่น ๆ ในราชสำนักว่าไม่ควรอิจฉา
หากไม่ใช่เพราะคุณความดีเรื่องหอวิจิตรศิลป์ หลิ่วหงเหยียนคงฟาดบั้นท้ายน้องชายด้วยกิ่งหลิวแล้ว นางมัวไม่เสียเวลามาโต้เถียงด้วยเช่นนี้หรอก
คุณหนูรองตระกูลฉินแค่นเสียง พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อย่ามาใช้ลูกไม้นี้กับข้า เจ้าก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าถาม”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต่อให้โดนตีตายเขาก็จะไม่ยอมรับเรื่องซื้อหอสุรา “เช่นนั้น ท่านถามเรื่องใดเล่า? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย”
หากเขายอมรับอย่างเชื่อฟัง รู้สึกผิด และสัญญาว่าจะแก้ไข เรื่องนี้ก็จบเห่น่ะสิ!
อย่างไรเงินที่เสียไปก็เป็นเงินที่สูบมาจากจอมเสเพลคนอื่น ๆ ต่อให้เขาจะถลุงเงินเป็นเบี้ย ตระกูลฉินก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนักหรอก
ท่าทางที่ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมรับของฉินเฟิง ทำให้หลิ่วหงเหยียนโกรธจนไฟลุก นางไม่ฟังเรื่องไร้สาระอีกต่อไป ถอดรองเท้าแล้วกระโดดขึ้นเตียงทันที นางดันฉินเฟิงไปติดกำแพง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดีไร้ทางหนี ก็ใช้มือเรียวงามหยิกเนื้อเขาตรงนั้นทีตรงนี้ด้วย ก่อนจะเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด
“หัดโกหกตั้งแต่อายุยังน้อยเชียวหรือ? ถ้าวันนี้ข้าทำให้เจ้าเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาไม่ได้ อย่ามาเรียกข้าว่าพี่หญิงอีก!”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจของฉินเฟิงก็ดังก้องไปทั่วลานหลังจวนฉิน
เพื่อปกป้องตัวเอง ฉินเฟิงทำได้เพียงพลิกตัวหลิ่วหงเหยียนมาไว้ใต้ร่าง นายน้อยฉินจับมือเรียวเล็กของนาง พลางขอร้องทั้งน้ำมูกน้ำตา “พี่หญิงรอง ท่านใจร้ายเกินไปแล้ว กับข้าที่เป็นน้อง ท่านลงมือโหดเหี้ยมเพียงนี้ได้อย่างไร”
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จู่ ๆ เสียงกระวีกระวาดของเสี่ยวเซียงเซียงก็ดังมาจากข้างนอก “นายน้อยเหตุใดท่านจึงกรีดร้องโหยหวนถึงเพียงนั้น? เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
หลิ่วหงเหยียนที่ก่อนหน้านี้เขินอายก็พาลโกรธแทน นางเปลี่ยนสีหน้า กลืนคำดุด่าลงคอ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าตัวแสบ รีบปล่อยข้า! หากใครมาเห็นเข้า ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าเป็นอันขาด!”
เมื่อได้มองใบหน้าแดงก่ำของพี่หญิงรอง ริมฝีปากของฉินเฟิงก็แห้งผาก แทนที่จะปล่อย ชายหนุ่มกลับกดแขนนางแน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะแสร้งทำหน้าหวาดกลัว ส่ายหน้าไปซ้ายทีขวาทีพลางเอ่ยคร่ำครวญ
“พี่หญิงรอง ข้าผิดไปแล้วอย่าขู่ข้าเลย ข้าขี้ขลาด ท่านเองก็รู้”
คำพังเพยอันโด่งดังนั่นว่าไว้อย่างไรแล้วนะ? มีของถูกไม่รีบคว้าไว้ก็เป็นไข่ตะพาบ*[2] ใช่ไหม



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ