บทที่ 44 ของขวัญในกระสอบ
ฉินเทียนหู่ไม่เชื่อเรื่องไร้สาระของฉินเฟิง ท่านอ๋องฐานะสูงศักดิ์อำนาจมากล้นเพียงนั้น จะมีสมบัติล้ำค่าอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน?
เมื่อเห็นกระสอบพัง ๆ ที่บุตรชายเตรียมเอาไว้เป็นของขวัญ ฉินเทียนหู่โกรธเกรี้ยวมาก แต่การหวังให้เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่รู้จักกาลเทศะก็นับว่ายากเกินไป
ของขวัญไม่ดีก็ไม่สำคัญ ขอแค่มีติดไม้ติดมือไปให้ผู้รับก็พอ นี่เป็นความสุภาพขั้นพื้นฐาน
ฉินเทียนหู่เกียจคร้านเกินกว่าจะบ่น เขาเตะฉินเฟิงเข้าไปในรถม้า และมุ่งหน้าไปยังจวนจี้อ๋องทันที
วันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องเป็นงานสำคัญ เหล่าเสนาบดีในราชสำนักและบรรดาบุตรหลานต่างก็พากันมาร่วมงาน พร้อมของขวัญชั้นยอด
ห่างจากจวนของจี้อ๋องครึ่งถนน ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยรถม้าแบบต่าง ๆ บ่าวรับใช้จากจวนเจ้าของงานออกมาทักทายแขกแต่ไกล พลางแบ่งลำดับชั้นของแขกไปด้วย หากรถม้าคันไหนมีสมาชิกราชวงศ์และขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ก็จะเปิดทางให้เข้าไปในจวนจี้อ๋องทันที ไม่ต้องมัวเบียดเสียดกับขุนนางตัวเล็ก ๆ เหล่านั้น
เนื่องจากมีผู้มาแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก ลานของจวนจี้อ๋องจึงเต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้ งานเลี้ยงฉลองวันนี้จัดขึ้นกลางแจ้ง ในลานเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าวางเรียงรายเต็มไปหมด
ฉินเฟิงเดินโซเซเข้าไปในจวน โดยมีกระสอบอยู่บนไหล่ ยามนี้ชายหนุ่มโดดเด่นราวกับหิ่งห้อยในคืนเดือนมืด ยากที่จะไม่ตกเป็นจุดสนใจ ทว่านายน้อยฉินหาได้อับอายไม่ กลับเดินอย่างภาคภูมิตามบ่าวรับใช้ไปยังที่นั่งเสียอีก แล้ววางกระสอบไว้บริเวณที่สะดุดตาที่สุด
เขาดึงตัวบ่าวรับใช้สองคนไว้ และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เฝ้าของของข้าให้ดี ๆ อย่าให้ใครแตะต้อง ถ้ามีอะไรผิดพลาด ต่อให้เจ้าจะเป็นบ่าวจวนจี้อ๋อง ข้าก็เตะก้นได้!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นเพียงหลี่รุ่ยกับเฉิงฟายืนอยู่ไม่ไกล ทั้งคู่มองของขวัญแสดงความยินดีของฉินเฟิงด้วยใบหน้ายั่วยุ
สำหรับเฉิงฟา เขาเคยถูกฉินเฟิงหลอกเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินไป ทั้งยังเกือบถูกบิดาจับถลกหนัง พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง แน่นอนว่า เฉิงฟาย่อมไม่ปล่อยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไป จึงจงใจตะโกนเยาะเย้ยเสียงดัง
“สมกับเป็นนายน้อยตระกูลฉิน ของขวัญที่เตรียมไว้ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปเสียจริง หรือเจ้าซื้อของธรรมดา ๆ ทั่วไป…มาตบตาจี้อ๋อง?”
หลี่รุ่ยกอดอก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “หากเป็นของพื้นบ้านก็แล้วไปเถิด เพราะเครื่องบรรณาการส่วนใหญ่ที่ส่งมาเมืองหลวงทุกปี ก็เป็นของที่ผลิตจากท้องถิ่นเช่นกัน แต่ของขวัญในกระสอบนั่นหมายความว่าอย่างไร หรือเจ้ามองว่าจี้อ๋องเป็นขอทาน?”
สองคนนี้พอมีโอกาสก็หาเรื่องเขาได้ทุกที ฉินเฟิงเคยชินเสียแล้ว
แต่ทั้งคู่เอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ได้เบาเลยสักนิด คนอื่น ๆ จึงหันมาสนใจกันตามระเบียบ เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นกระสอบพัง ๆ ของฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะชี้ไม้ชี้มือมา
อู๋ยงกับอันชื่ออวิ๋นย่อมไม่น้อยหน้าเช่นกัน แม้ทั้งสองจะไม่ได้มีมิตรภาพลึกซึ้งกับหลี่รุ่ย แต่ก็เป็นเช่นคำกล่าวที่ว่า ศัตรูของศัตรูคือมิตร เมื่อเผชิญหน้ากับฉินเฟิง พวกเขาย่อมร่วมแรงร่วมใจกันเป็นธรรมดา
มุมปากของอู๋ยงยกขึ้น เผยให้เห็นความเหยียดหยาม ก่อนจะเริ่มเอ่ยเยาะเย้ย “ฉินเฟิง อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหม ไยไม่ตั้งใจเตรียมของขวัญดี ๆ เล่า หรือจี้อ๋องไม่ได้อยู่ในสายตาเจ้าเลย หรือเจ้าจะจงใจทำให้จี้อ๋องต้องอับอาย?”
อันชื่ออวิ๋นที่อยู่ด้านข้างรีบเสริม “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวาน นายน้อยฉินใช้เงินไปมากนัก เขาใช้แสนตำลึงเงินซื้อหอสุราธารหยกที่ใกล้เจ๊ง แถมยังใช้อีกสามหมื่นตำลึงเงินในการตกแต่ง เขามั่งมีจนข้าละอายไปเลย แต่ข้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดนายน้อยฉินที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายคนนั้น ไม่มีปัญญาหาของขวัญดี ๆ มาให้จี้อ๋องเล่า?”
“หรือว่า…หลังจากนายน้อยฉินได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ก็มองไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอีก?”
สิ้นคำ ดวงตาของหลี่รุ่ยก็เป็นประกาย เขาตัดสินใจผูกมิตรกับอันชื่ออวิ๋นทันที
บรรดาผู้มีชื่อเสียงและบุคคลสูงศักดิ์รอบข้างอดไม่ได้ที่จะสนทนากันด้วยหัวข้อนี้ การกระทำของฉินเฟิง หากมองให้เป็นเรื่องเล็กก็ดูเหมือนคนไม่รู้กาลเทศะ แต่หากมองให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูราวกับไม่เคารพนับถือเจ้าของงานผู้เป็นถึงอ๋อง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ