บทที่ 432 ไม่มีใครรับฟ้อง
เมืองหลวง พระราชวังต้องห้าม ณ ห้องทรงพระอักษร
ไท่เป่าหลินยืนอยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าจริงจังและขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ก่อนจะเล่าถึงความผิดมากมายของฉินเฟิง
“ตอนนี้ทางเจียงหนานได้เริ่มการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ฉินเฟิงก็อาศัยอำนาจของทูตพิเศษดูแลการสงคราม ส่งกำลังทหารม้าจากทางเหนือเข้าบุกรุกพื้นที่ยุ้งฉางของเจียงหนาน กล่าวว่าขอปันส่วนเสบียงทหาร แต่จ่ายให้พ่อค้าธัญพืชในท้องถิ่นเพียงสิบเหวินต่อหนึ่งถังเท่านั้น มันต่างจากการปล้นอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากพ่อค้าธัญพืชไม่ได้ผลกำไร แล้วพวกเขาจะถ่อไปถึงชนบทเพื่อรับซื้อธัญพืชทำไม ต่อให้ผลผลิตในเจียงหนานจะอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าพ่อค้าธัญพืชไม่ไปชนบทเพื่อรับซื้อ มันก็มีแต่จะเน่าเปื่อยในทุ่งนานะพ่ะย่ะค่ะ”
“การเคลื่อนไหวของฉินเฟิง พูดให้เบาก็คือส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางการค้าในเจียงหนาน พูดให้ร้ายแรงก็คือ ทำลายเศรษฐกิจการเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ก่อให้เกิดอันตรายต่อต้าเหลียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คือประการแรก!”
“นอกจากนี้ กองทหารม้าในชายแดนทางเหนือที่ควรจะต่อต้านกองทัพเป่ยตี๋ ถูกห้ามไม่ให้โยกย้ายกองกำลังโดยเด็ดขาดเว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท แต่ฉินเฟิงระดมกองทหารม้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจักต้องมีเจตนาแอบแฝงเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมคิดว่าฉินเฟิงควรถูกถอดออกจากตำแหน่งทูตพิเศษดูแลการสงครามและได้รับการลงโทษสถานหนักพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อฟังความผิดทั้งหลายที่ไท่เป่าหลินกล่าวรายงานอย่างขุ่นเคือง ฮ่องเต้ต้าเหลียงภายนอกดูเคร่งขรึม แต่กลับเยาะเย้ยอยู่ในใจ
สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ถูกฉินเฟิงบีบบังคับจนจวนตัว ถึงได้รู้จักมาที่วังเพื่อฟ้องร้อง
ในวันธรรมดา อีกฝ่ายอาศัยตำแหน่งไท่เป่าคุ้มหัว กลุ่มคนภายใต้การบังคับบัญชาของเขาทำตัวอวดดี ทั้งยังหาเรื่องเดือดร้อนให้เจิ้นไม่ใช่น้อย ๆ
ตอนนี้ฉินเฟิงกำลังพุ่งเป้าไปที่ไท่เป่าหลินก็สมควรแล้ว!
แม้ว่าความระแวงของฮ่องเต้ต้าเหลียงต่อฉินเฟิงจะหยั่งรากลึกอยู่ในกระดูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปราบปรามพ่อค้าธัญพืชเจียงหนานซ้ำแล้วซ้ำเล่าของฉินเฟิงไร้อันตรายต่อต้าเหลียง
แม้การระดมกองทหารม้าจากทางเหนือโดยไม่ได้รับอนุญาตจะไม่เหมาะสมจริง ๆ แต่ก็ถือว่าควรเปรียบเทียบอันตรายสองสิ่งแล้วเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการกระทำของฉินเฟิง พ่อค้าธัญพืชในเจียงหนานต่างหากที่ก่อให้เกิดอันตรายไม่รู้จบ
ภายนอกฮ่องเต้ต้าเหลียงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก บอกให้ไท่เป่าหลินกลับไปรอ ตรัสว่าเรื่องนี้จะต้องหารือกับกรมกลาโหมและกรมคลัง แต่แท้จริงแล้วพระองค์ไม่มีความตั้งใจที่จะให้ความสนใจกับมันเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่ไท่เป่าหลินออกจากประตูพระราชวัง เสนาบดีกรมยุติธรรมที่รออยู่ด้านนอกก็เข้ามาหาเขา “ท่านไท่เป่าหลิน เรื่องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ไท่เป่าหลินมีสีหน้าเย็นชา แค่นเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ “ฮ่องเต้ต้องการหารือเรื่องนี้กับกรมกลาโหมและกรมคลังก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสนาบดีกรมยุติธรรมก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ
จากมุมมองของกระบวนการ การส่งกองกำลังโดยไม่ได้รับอนุญาตของฉินเฟิงและการปันส่วนทางทหารนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมกลาโหมและกรมคลัง แต่ปัญหาคือกรมกลาโหมเป็นของตระกูลฉิน ส่วนเสนาบดีกรมคลังหลี่ซวี่ นับตั้งแต่สิ้นอำนาจของเกาหมิง ความสัมพันธ์อย่างศัตรูคู่แค้นในอดีตของทั้งสองกรมตอนนี้ก็กลายเป็นความคลุมเครือไปเสียแล้ว
มีข่าวลือว่ากรมคลังตัดสินใจเข้าร่วมพลพรรคเถาหลินเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเรื่องนี้เสร็จสิ้น กรมกลาโหม กรมคลัง และกรมขุนนางทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฉินเฟิง
กรมพิธีการไม่เคยแทรกแซงกิจการของราชสำนัก รับฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ส่วนกรมโยธาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในราชสำนักเท่าไหร่
ส่งผลให้กลุ่มของไท่เป่าหลินถูกปิดล้อมจากทุกฝ่าย
ความวิตกในวิกฤติฉายผ่านสายตาของเสนาบดีกรมยุติธรรมอย่างยากจะเห็น “ท่านไท่เป่า เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงกำลังจะลงมือต่อสู้กับตระกูลหลิน ขณะลองเชิงทางด้านเจียงหนานก็กำลังปิดล้อมราชสำนัก ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ส่วนอำนาจก็ได้รับการคุ้มครองจากพรรคเถาหลิน ด้านกองทัพก็มีอำนาจระดมพล หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นอันตรายต่อเราอย่างมาก”
ไท่เป่าหลินจะไม่รู้ความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้อย่างไร
แม้ว่าเกาหมิงจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลที่ร่ำรวย แต่เขาก็ยังคงเป็นขุนนางที่จงรักภักดีในราชสำนักมาโดยตลอด คอยปราบปรามครอบครัวร่ำรวยทางตอนใต้ด้วยอำนาจของเขาเอง ขุนนางคนสำคัญเช่นนี้ยังพ่ายแพ้ให้กับฉินเฟิงมิใช่หรือ?
และในตอนนี้ฉินเฟิงเริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็แทบจะไม่สามารถปราบปรามได้ อยากจะแก้ปัญหานี้ในราชสำนักก็ยากพอ ๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ