บทที่ 46 น้ำตาลคุณภาพสูง
ใบหน้าของอู๋ยงซีดเผือด ไม่คาดคิดว่าฉินเฟิงจะสร้างความยุ่งยากโดยการอ้างถึงฮ่องเต้!
เมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของทุกคน ไม่ต้องพูดเลยว่าฉินเฟิงสนุกแค่ไหน ชายหนุ่มรีบลงมือตีเหล็กตอนยังร้อน “หรือทั่วทั้งแคว้นต้าเหลียง มีเพียงฮ่องเต้และตระกูลฉินของข้าเท่านั้น ที่รู้วิธีประหยัด?”
ไม่มีใครในงานกล้าขยับเขยื้อน โดยเฉพาะหลี่รุ่ยกับคนอื่น ๆ ใบหน้าของพวกเขาเขียวคล้ำ อยากจะโต้แย้งเจ้าบ้านี่ใจแทบขาด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดดันเป็นความจริงทั้งสิ้น โต้แย้งฉินเฟิงย่อมเท่ากับโต้แย้งฮ่องเต้ แล้วใครเล่าจะมีความกล้า? หลี่รุ่ยหนึ่งในผู้ที่มอบของขวัญราคาแพง นึกอยากทำลายไข่มุกเม็ดโตนั่นเสียเดี๋ยวนั้น
ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่า คำพูดเหล่านี้จะต้องไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ ทุกคนที่ให้ของขวัญล้ำค่าคงถูกฝ่าบาทจดชื่อไว้คิดบัญชีเป็นแน่!
จี้อ๋องร่างกายชราแต่จิตใจยังไม่ร่วงโรย เขาหาได้ขาดแคลนของขวัญเหล่านี้ไม่ เมื่อฉินเฟิงเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ไม่ว่าใจจะคิดสิ่งใด ใบหน้าของชายราก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ ๆ เฟิงเอ๋อร์พูดถูก ตอนนี้การเงินของต้าเหลียงติดขัด ของขวัญล้ำค่าที่ทุกท่านให้มานั้นไม่เหมาะสม แต่ในเมื่อเป็นความปรารถนาดี ข้าย่อมรับของทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็จะส่งเข้าวังเพื่อเติมเต็มท้องพระคลังต่อไป”
ฉินเทียนหู่ที่เมื่อครู่เกือบอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธ จู่ ๆ ก็มีความสุขขึ้นมา ในใจแอบปลื้มปีติ โชคดีเขาไม่รีบร้อนเอาโสมสามร้อยปีออกมา!
ตอนนี้เมื่อมองไปยังกระสอบผุพังของบุตรชาย เสนาบดีกรมกลาโหมกลับรู้สึกถูกอกถูกใจเสียอย่างนั้น!
คิดไม่ถึงเลยว่า เด็กสารเลวคนนี้จะมีสายตากว้างไกลนัก
วันนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง เป็นงานสำคัญในเมืองหลวง ตามปกติฮ่องเต้จะส่งคนนำของขวัญมาพระราชทานให้ด้วย ในช่วงที่มีคลื่นลมไม่สงบเช่นนี้ หากพบว่าทุกคนไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ใช้เงินราวเศษธุลี แม้จะไม่พูดอะไร แต่ในพระทัยต้องทรงพิโรธเป็นแน่! ถึงเวลานั้นก็มิอาจมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า ฮ่องเต้จะคิดบัญชีเมื่อใด
ฉินเทียนหู่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ถ้าไม่ใช่เพราะความเฉียบแหลมของฉินเฟิง เขาเองคงทำในสิ่งไม่สมควรลงไปแล้ว ใบหน้าเสนาบดีกรมหลาโหมปรากฏรอยยิ้มออกมา
ขณะเดียวกัน ความสนใจของทุกคนก็พุ่งไปที่กระสอบพัง ๆ ของนายน้อยตระกูลฉิน
เช่นเดียวกับจี้อ๋อง ไม่ว่าในใจเขาจะชอบมันหรือไม่ ภายนอกย่อมต้องแกล้งทำเป็นชื่นชมของขวัญในกระสอบไปก่อน!
“เฟิงเอ๋อร์ ของขวัญที่เจ้าเตรียมมาคือสิ่งใดเล่า อย่าโอ้เอ้อีกเลย เอาออกมาให้ข้าดูเสียเถิด”
ฉินเฟิงแอบถอนหายใจ เพื่อโฆษณาน้ำตาลทรายขาว เขาผู้เป็นถึงเถ้าแก่ต้องออกโรงด้วยตัวเอง นี่ไม่ง่ายเลย กลับบ้านไปคงต้องตุ๋นขาหมูใหญ่ ๆ บำรุงตัวเองให้ดี ๆ หน่อยแล้ว
นายน้อยฉินไม่ลังเลอีกต่อไป ท่ามกลางการจ้องมองอย่างชื่นชมอันเสแสร้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดกระสอบออก เขาสั่งให้บ่าวรับใช้ไปหยิบชามเปล่ามา จากนั้นก็ตักบางอย่างใส่ลงไปแล้วยื่นให้เจ้าของงานเลี้ยง
เมื่อเห็นชามขนาดใหญ่เต็มไปด้วยน้ำตาลทรายขาว จี้อ๋องก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ “ทุกวันนี้ พื้นที่การผลิตน้ำตาลอ้อยได้รับความเสียหาย และเกล็ดน้ำตาลก็เป็นสินค้าหายาก แม้แต่จวนของข้ายังต้องใช้อย่างประหยัด เหตุใดจวนฉินจึงกักตุนเกล็ดน้ำตาลไว้มากมายเพียงนี้?”
จี้อ๋องรู้สึกว่าสีของเกล็ดน้ำตาลนี้แปลกนัก มันขาวกว่าเกล็ดน้ำตาลธรรมดาหลายเท่า จึงใช้นิ้วแตะมันเล็กน้อยแล้วส่งเข้าปาก ทันทีที่เกล็ดสีขาวละลาย ลิ้นของเขารับรู้ได้ถึงความหวาน ดวงตาจี้อ๋องเปล่งประกายขึ้นทันที “เกล็ดน้ำตาลธรรมดาแม้จะดี แต่ไม่หวานเท่าน้ำตาลอ้อย เกล็ดน้ำตาลเหล่านี้ไม่เพียงขาวราวหิมะ แต่ยังหวานเหมือนน้ำตาลอ้อยอีกด้วย ฉินเฟิง เจ้าไปเอาเกล็ดน้ำตาลคุณภาพสูงมาจากที่ใด?”
ไม่ต้องพูดถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แม้แต่ผู้เป็นพ่ออย่างฉินเทียนหู่เองยังดูงุนงงเมื่อเห็นน้ำตาลทรายขาว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ