บทที่ 465 คนทั้งเมืองเฉลิมฉลอง
ฉีหยางจวิ้นจู่ทำตามคำแนะนำขององค์หญิงใหญ่ ก่อนฟ้ามืดนางก็ไปยังห้องทรงพระอักษร เดิมทีแม้แต่องค์ชายก็ต้องให้ความเคารพเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ในพระราชวังมีเพียงฉีหยางจวิ้นจู่เท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษ สามารถเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้อย่างง่ายดาย นี่ก็ด้วยบิดาของนางได้ช่วยเหลือราชวงศ์ต้าเหลียงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่ก็ยังเป็นพระขนิษฐาที่สนิทสนมกลมเกลียวกับฮ่องเต้ต้าเหลียงด้วย
หลังรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ต้องการอะไร ฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตรัสอย่างจริงจัง “มิผิด ถึงเวลาแล้วที่ธรรมเนียมให้องค์ชายเข้ากองทัพรักษาชายแดนจะถูกนำกลับมาใช้อีกครา ราชสกุลหลี่ของเราไม่อาจอยู่ใต้ร่มเงาแห่งความโศกเศร้าตลอดไปได้”
“ฉีหยาง มารดาของเจ้ากับกุ้ยเฟยกลมเกลียวกันดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ต้าเหลียง ฉีหยางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
จะว่ากลมเกลียวก็นับว่ากลมเกลียวกันดี แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นเพียงการแสดงผิวเผิน ตราบใดที่มีโอกาส ไม่ว่าองค์หญิงใหญ่หรือกุ้ยเฟยต่างก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดอีกฝ่าย
แต่ไหนแต่ไรราชวงศ์ก็มีความเลือดเย็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ก็ยังต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่ามีบรรยากาศครอบครัวอบอุ่น
ฉีหยางจวิ้นจู่ทำได้แค่แสดงไปตามน้ำ นางยอบกายโค้งคำนับ ฝืนยิ้มออกมา “มารดาและกุ้ยเฟยเข้ากันได้ดีมากเพคะ เช้าวันนี้ยังสนทนากันในโถงดอกไม้ทิศตะวันตกอยู่นานสองนาน นับตั้งแต่มารดากลับมาพำนักยังวังหลวง กุ้ยเฟยก็เป็นเพียงผู้เดียวที่มารดาสามารถสนทนาด้วยได้”
ฮ่องเต้ต้าเหลียงยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาโบกมือเบา ๆ บอกเป็นนัยว่าฉีหยางสามารถออกไปได้แล้ว
หลังจากออกจากห้องทรงพระอักษร ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่ได้กลับไปวังหลัง นางออกจากประตูพระราชวัง มุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเซี่ย เมื่อมาถึงสวนหลังจวน ก่อนจะได้เข้าประตู นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน เสียงหัวเราะนั้นแลดูสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ฉีหยางจวิ้นจู่อดไม่ได้ที่จะหยุดฟัง
“คุณหนู นายน้อยฉินเพิ่งไปที่ชายแดนเหนือก็สร้างผลงานใหญ่ได้ ตอนนี้ใต้หล้ารับรู้ถึงความกล้าหาญของเขาแล้ว ในฐานะภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งของนายน้อยฉิน ท่านย่อมต้องได้รับความเคารพจากบุตรหลานผู้ดีในเมืองหลวง เช้าวันนี้บ่าวได้ยินคุณหนูบางคนที่รวมกลุ่มกันในห้องหนังสือเอ่ยพาดพิงถึงท่าน”
จู่ ๆ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็สนใจขึ้นมา “พูดถึงข้า พูดว่ากระไร?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของสาวใช้ก็เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ เหมือนได้มีเกียรติไปด้วย “ยังจะพูดกระไรได้อีกเล่าเจ้าคะ พวกนางต่างก็อิจฉาคุณหนูที่โชคดีได้ผูกวาสนากับนายน้อยฉิน ทั้งยังกล่าวอีกว่า ฉินเฟิงผู้นั้นเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึก ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งฮูหยินเอกของท่านไปได้”
“คุณหนูจากตระกูลเสนาบดีกรมโยธายังกล่าวอีกว่า… หากได้แต่งเข้าตระกูลฉิน ต่อให้เป็นอนุภรรยาก็คุ้มค่า”
เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของสาวใช้ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ แต่นางไม่อยากจะยอมรับ “หึ เจ้าฉินเฟิงนั่นก็ถือว่าพอจะใช้ได้ ไม่เสียแรงที่ข้าเสียเวลากับเขาไปมาก”
สาวใช้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้า “คุณหนูพูดเหมือนกับว่าแต่งให้ตระกูลฉินแล้วท่านจะเสียเปรียบอย่างไรอย่างนั้น”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์โอ้อวด “ข้าเสียเปรียบมาโดยตลอด การได้แต่งกับตระกูลเซี่ยของข้า ถือเป็นบุญที่ฉินเฟิงสะสมมาสามชาติ”
ฉีหยางจวิ้นจู่ที่อยู่ด้านนอกพลันมีแววตาซับซ้อน หลังจากลังเลอยู่นาน นางก็หันหลังจากไปเงียบ ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับราชวงศ์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ความผูกพันในราชวงศ์เป็นเพียงสายใยผิวเผิน เบื้องหน้ากล่าววาจาว่ารักใคร่กลมเกลียวมากกว่าใคร ๆ แต่ในที่ลับกลับเลือดเย็นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ตระกูลฉินและตระกูลเซี่ย เบื้องหน้ามักจะทะเลาะกัน แต่ในใจกลับคิดให้อีกฝ่ายไปได้ดี ยามช่วงเวลาวิกฤติก็ยืนเคียงข้างคนในครอบครัวโดยไม่ลังเล นี่คือความผูกพันแบบครอบครัวและเป็นสิ่งที่ฉีหยางจวิ้นจู่โหยหา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ