บทที่ 479 ตัวตนของพี่หญิงสาม
แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนเดินเข้าไปในห้องปีกข้างของศาลาว่าการอำเภอภายใต้หน้ากากของการหารือเกี่ยวกับการวางแผนสงครามกับฉินเฟิง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาคิดฉกฉวยทรัพยากรของอำเภอเป่ยซีไปเปล่า ๆ เห็นสิ่งใดก็หยิบสิ่งนั้น
สิ่งที่อำเภอเป่ยซีมีเหลือเฟือคือลูกกวาด แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนย่องเข้าไปในโกดัง ยัดลูกกวาดที่เตรียมออกขายลงถุงกระสอบอย่างสนุกสนาน ปรากฏว่าดันถูกฉินเฟิงจับได้คาหนังคาเขา
“ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังทำกระไร?!”
ฉินเฟิงมีสีหน้าหดหู่ ในใจคิดว่าตัวเองรักษาบาดแผลจากลูกธนูให้อีกฝ่ายด้วยความหวังดี ตาเฒ่าผู้นี้ไม่ตอบแทนก็ช่างเถิด แต่ยังมาลักเล็กขโมยน้อย หยิบจับทรัพย์สินของเจ้าบ้าน ไหนเลยจะมีท่าทีเหมือนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่?
นี่เป็นการพาหมาป่าเข้าบ้านชัด ๆ!
เมื่อเผชิญหน้ากับคำดุของฉินเฟิง แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนก็รีบซ่อนกระสอบที่อัดแน่นไปด้วยลูกกวาดไว้ข้างหลัง แล้วยิ้มแฮะ ๆ “เสี่ยวฉิน เจ้าก็รู้ว่าเมืองทหารชายแดนของข้าขาดแคลนเสบียง อำเภอเป่ยซีของเจ้าร่ำรวยจะตาย ของแค่นี้ไม่นับเป็นกระไรกระมัง”
นี่มันคำแก้ตัวประเภทใดกัน?
กองทหารชายแดนเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับศัตรูจากต่างแคว้น เดิมทีสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเอื้อเฟื้อที่สุด แต่ตอนนี้กลับได้รับการจัดสรรรายจ่ายทางทหารแค่พอใช้เท่านั้น ส่วนเสบียงอาหารก็ได้รับเพียงจำนวนขั้นต่ำสุด
เหตุใดกองทหารชายแดนจึงอยู่อย่างทุกข์ยากเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้ต้าเหลียงจึงพุ่งเป้ามายังกองทหารชายแดน แม่ทัพเฒ่าผู้นี้ไม่รู้เลยหรือ? ไยยังมีหน้ามาบ่นอยู่อีก ไม่รู้จักละอายใจเสียบ้าง!
ฉินเฟิงคว้ากระสอบมา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านขอเสบียง เนื้อสัตว์ หรือข้าวสารก็ช่างเถิด แต่ลูกกวาดเหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของพวกปัญญาชนและขุนนางในแคว้น ล้วนเป็นของที่ไม่จำเป็น จะมีหรือไม่มีก็ได้ บาดแผลจากลูกธนูของท่านยังไม่หายดี อย่าได้เสียพละกำลังอันมีค่าไปกับของนอกกายเหล่านี้เลย”
แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนเบะริมฝีปาก “พูดมากขนาดนี้ไปไย สุดท้ายเจ้าก็แค่ขี้งก!”
ขี้งก?
ข้าวหนึ่งถุงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งกระสอบนำมาซึ่งความแค้นโดยแท้*[1] ฉินเฟิงฉุนขึ้นมาทันที “ตาเฒ่า… อะแฮ่ม ท่านแม่ทัพ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ท่านบอกมาตามตรงเถอะ ที่ท่านรั้งอยู่ในอำเภอเป่ยซีไม่ยอมไปเพื่อการใดกันแน่ ถ้าบอกว่าเพื่อจะขโมยสิ่งของ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะให้มือปราบจับท่านเสียตอนนี้เลย”
เมื่อเห็นฉินเฟิงไม่ไว้ไมตรีเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนก็หาได้โกรธ ทั้งยังแย้มยิ้ม เขาเอื้อมมือออกไปตบไหล่ฉินเฟิง ปรากฏว่าทำให้บาดแผลได้รับการกระทบกระเทือน ใบหน้าจึงเหยเกด้วยความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้
สมน้ำหน้า!
ในใจฉินเฟิงได้ระบายความโกรธแล้ว
แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนกุมบาดแผล เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลงถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาแสดงรอยยิ้มชั่วร้ายกว่าสิ่งใด “เสี่ยวฉิน ด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเหตุใดข้าถึงรั้งอยู่ในอำเภอเป่ยซี ไยเจ้าถึงยังต้องถามอีกเล่า?”
“ที่นี่ไม่มีคนนอก แม่ทัพอย่างข้าจะพูดเปิดอกกับเจ้าก็แล้วกัน”
“ความแค้นระหว่างข้ากับฮ่องเต้ดำเนินมาเนิ่นนาน เหตุที่ข้าซ่องสุมกองกำลังก็เป็นเพราะไร้หนทางอื่นแล้ว เมื่อใดข้าสละอำนาจทางทหาร ฮ่องเต้ย่อมไม่ลังเลที่จะหันปลายดาบเข้าใส่”
ฉินเฟิงไม่สงสัยในคำพูดของแม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดน ฮ่องเต้ต้าเหลียงไม่ลังเลที่จะต้องฆ่าใครก็ตามที่คุกคามอำนาจของพระองค์
หัวใจของฉินเฟิงกระจ่างเหมือนกระจก แต่เขาแกล้งทำเป็นงุนงง “ไฉนท่านแม่ทัพถึงอยากคุยกับข้าเรื่องนี้เล่า?”
แม้ว่าแม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนจะเฝ้ารักษาชายแดนมานานกว่าสิบปี และไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ของราชสำนักมานานแล้ว แต่เล่ห์เหลี่ยมพื้นฐานก็ยังคงมีอยู่ เขาย่อมเข้าใจว่าฉินเฟิงไม่เห็นกระต่ายก็ไม่ปล่อยเหยี่ยว*[2]
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนก็ไม่อ้อมค้อม พูดเข้าประเด็นทันที “แม่ทัพอย่างข้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นเพราะตระกูลฉินของเจ้า!”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว บ่นในใจ …ไฉนข้อพิพาททางชายแดนเหนือถึงเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินได้เล่า?
แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนไม่ซ่อนเร้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้รับของคนอื่นมือไม้อ่อน กินของคนอื่นปากอ่อน*[3] แต่ในเวลานี้เขากลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ “ปีนั้น ก่อนฮ่องเต้จะสืบทอดบัลลังก์ พระองค์มารักษาการณ์ยังชายแดนเหนือและให้กำเนิดธิดากับหญิงสาวชาวชายแดนเหนือ อย่างไรก็ตาม ตัวตนของนางคุกคามฐานะของผู้สูงศักดิ์บางคนในวังหลัง นางจึงถูกตามไล่ล่า”
“แม่ทัพอย่างข้าพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อปกป้องทายาทของหญิงสาวผู้นั้นจากราชสำนัก สุดท้ายก็ถูกย้ายมาประจำการที่ชายแดนเหนือ นี่ก็ผ่านไปนานกว่าสิบปีแล้ว”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ