บทที่ 480 ศึกสุดท้าย
ช่วงเวลานี้ เรือนด้านหลังของศาลาว่าการอำเภอ หลี่เซียวหลานและฮูหยินฉินกำลังคุยกันอยู่ในศาลา
ฮูหยินฉินยังเหมือนเดิม ยามว่างงานนางจะหยิบเข็มหยิบด้ายมาเย็บปะเสื้อผ้า ตอนนี้ก็กำลังถือพื้นรองเท้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มจาง ๆ “หลานเอ๋อร์ ยามนี้อำเภอเป่ยซีเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง ต่อไปก็สามารถอยู่ในอำเภอเป่ยซีได้อย่างสบายใจแล้ว”
จากสถานการณ์ตอนนี้ ฮูหยินฉินมีความสุขอย่างแท้จริง นางรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน นางไม่เคยคาดหวังว่าบุตรชายจะสร้างอำเภอเป่ยซีจนเป็นเช่นวันนี้ได้
อารมณ์ของหลี่เซียวหลานก็แจ่มใสขึ้นมาก เดิมทีแม้นางจะซ่อนตัวอยู่ในเรือนหลังของตระกูลฉิน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจเท่าตอนนี้มาก่อน
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณฉินเฟิง
หลี่เซียวหลานเอาผมทัดหลังหู ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นางดูแตกต่างจากหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรฝั่งซ้ายผู้น่ากลัวและโหดร้ายอย่างสิ้นเชิง
“ข้าเคยกังวลว่าวันหนึ่งฮ่องเต้จะคิดพิเรนทร์ เรียกพวกเรากลับเมืองหลวง ตอนนี้มีอำเภอเป่ยซีหนุนหลังแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้จะเรียกเข้าเฝ้า พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไป”
“จะว่าไปแล้ว ท่านแม่ได้ยินหรือไม่ว่าเฟิงเอ๋อร์รักษาบาดแผลจากลูกธนูให้แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนจนหายดีแล้ว อีกทั้งยังให้ท่านแม่ทัพอยู่ในอำเภออีกสองสามวันด้วย?”
เรื่องที่แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนรั้งอยู่ในอำเภอเป่ยซี ไม่มีใครมีความสุขมากไปกว่าหลี่เซียวหลาน ท้ายที่สุดแล้ว แม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนก็เป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของนาง
ฮูหยินฉินพยักหน้า มือจับพื้นรองเท้าไว้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ว่ากันว่าไม่มีใครเข้าใจลูกชายได้ดีกว่าแม่ แต่ข้าแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นเลย หลังจากแยกกันหลายปี เขาได้เรียนรู้ความสามารถมากมาย กลายเป็นคนเด็ดขาด สามารถพลิกสถานการณ์ได้ ข้าไม่รู้ว่าจะต้องสุขใจหรือทุกข์ใจกันแน่ ส่วนเรื่องแม่ทัพใหญ่กองทหารชายแดนนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ากับข้าเข้าไปแทรกแซง ข้าเชื่อว่าเฟิงเอ๋อร์สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม”
มารดาและบุตรีมองหน้ากันก่อนจะยิ้มด้วยความมั่นใจในตัวฉินเฟิง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ หลิ่วหงเหยียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและขยิบตาให้พวกนางทั้งสอง
จากนั้นฉินเฟิงก็ปรากฏตัวที่เรือนด้านหลัง เกือบจะในเวลาเดียวกัน
ฮูหยินฉินและหลี่เซียวหลานเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งไว้
เมื่อเห็นแม่และพี่หญิงอีกสองคน ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน เขาวางแผนจะแฉพวกนางแต่ก็กลืนคำพูดลงไป
ฉินเฟิงต้องการดูว่าพวกนางจะทำอะไรได้บ้าง
ชายหนุ่มฉีกยิ้มทันที “ท่านแม่ พี่หญิงรอง พี่หญิงสาม พวกท่านว่างกันจริง ๆ ไยไม่รู้จักช่วยแบ่งเบาภาระให้ข้าเสียบ้าง ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นฉินเฟิงบ่นไม่หยุดก็รู้ได้ว่าฉินเฟิงคงไม่ได้ยินอะไร พวกนางทั้งสามมองหน้ากันแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลิ่วหงเหยียนกลอกตาใส่ฉินเฟิง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากล้าบ่นว่าเหนื่อยหรือ? การดำรงชีวิตของผู้คนในอำเภอเป่ยซีมีหลินฉวีฉีดูแล โรงฝีมือค่ายเทียนจีก็มีหลู่หมิง ค่ายทหารเองก็มีหลี่หลาง สวี่โม่ กับจ้าวอวี้หลง แม้แต่โรงพยาบาลเป่ยซีเจ้าก็ทิ้งไว้ให้ซุนเฮ่อจัดการ เจ้าชี้มือใช้งานแต่ผู้อื่น ช่างทำให้ผู้คนอิจฉานัก!”
หลี่เซียวหลานหรี่ตาลง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ถ้าเจ้าเหนื่อยมาก ข้าสามารถฝังเข็มให้เจ้าเพื่อคลายความเหนื่อยล้าได้”
ฝังเข็มหรือ?
ฉินเฟิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาเผลอเกร็งต้นขาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มหันไปฟ้องฮูหยินฉินอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ท่านดูสิ พี่หญิงสามขู่ข้าอีกแล้ว”
ฮูหยินฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ถอนหายใจ “เด็กอย่างเจ้านี่นะ อยู่ข้างนอกร้ายกาจกว่าใคร ไฉนพอกลับจวนถึงทำตัวงอแงเหมือนเด็กไม่มีวันโตเช่นนี้เล่า?”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ